วันนี้ (1 พฤษภาคม) คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้เชิญผู้แทนจากกรมสรรพากรและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าชี้แจง กรณีการทำธุรกรรมซื้อหุ้นมูลค่า 4,434.5 ล้านบาท ของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note หรือ ตั๋ว PN) โดยมี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. พรรคประชาชน ในฐานะผู้ยื่นเรื่องเข้าร่วมประชุมด้วย
สิทธิพล ในฐานะประธาน กมธ. กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และข้อสงสัยของสาธารณชนเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของธุรกรรมลักษณะดังกล่าว กมธ. จึงต้องการความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 3 ประเด็นหลัก คือ
1) ธุรกรรมนี้ถูกหรือผิดกฎหมายอย่างไร
2) เป็นการตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษี หรือเป็นการอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้แผ่นดินหรือไม่
3) การดำเนินการของหน่วยงานที่รับผิดชอบมีความรวดเร็วและโปร่งใสเพียงใด
ด้านวิโรจน์ ผู้ยื่นเรื่องตรวจสอบ กล่าวว่า ตนได้ยื่นเรื่องถึงกรมสรรพากรแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อขอให้ส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ตามมาตรา 13 (7) แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อวินิจฉัยว่า การที่แพทองธารใช้ตั๋ว PN ซื้อหุ้นจากบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว (มารดา, ลุง, ป้าสะใภ้, พี่สาว, พี่ชาย) เป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ตนตั้งคำถาม ไม่ใช่เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของฝั่งผู้ขาย ที่ผ่านมาหน่วยงานมักตอบไม่ตรงคำถาม
วิโรจน์ย้ำว่า ต้องการทราบความคืบหน้าจากกรมสรรพากรว่าได้ดำเนินการตามที่ร้องขอแล้วหรือยัง หากยังล่าช้าเพราะเหตุใด เพราะหากธุรกรรมลักษณะนี้สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายและไม่ต้องเสียภาษีการรับให้ ประชาชนทั่วไปก็อาจนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการโอนหุ้นมูลค่าเกิน 20 ล้านบาทให้แก่ทายาท
“ถ้าเอาโมเดลจากนายกรัฐมนตรีมาทำ ทางอธิบดีกรมสรรพากรต้องประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรว่าต่อไปนี้ให้ใช้ตั๋ว PN และทำแบบนายกฯ หรือจะตั้งชื่อว่า ‘แพทองธารโมเดล’ เลยก็ได้ แต่สรรพากรต้องรับสภาพว่านับแต่นี้เป็นต้นไปอาจจะไม่สามารถจัดเก็บภาษีการรับให้ได้เลย” วิโรจน์กล่าว
พร้อมเสนอให้กรมสรรพากรตรวจสอบประวัติการใช้ตั๋ว PN และการชำระเงินจริงในธุรกรรมที่ผ่านมาของบุคคลในครอบครัวนายกรัฐมนตรี รวมถึงตรวจสอบว่ามีการนำเงินปันผลจากหุ้นที่ได้มาไปชำระค่าหุ้นให้แก่ญาติหรือไม่ เพื่อประกอบการวินิจฉัย
