ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ทองคำ’ ถือเป็นทรัพย์สินที่กำลังเป็นที่สนใจในเวลานี้มากๆ สำหรับนักลงทุนและบุคคลทั่วไป อ้างอิงบทความจาก Bloomberg ราคาของทองคำทะยานขึ้นถึง 43% ในปีที่ผ่านมา เฉพาะปีนี้ก็พุ่งไปแล้ว 26% และเฉพาะเดือนล่าสุดก็เพิ่มอีก 10% ซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก
ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ทองคำเปรียบเสมือน ‘สินทรัพย์แห่งความกลัว’ ซึ่งตอนนี้ความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ตลอดจนสงครามการค้าที่เปลี่ยนแปลงกันรายวันทำให้ราคานั้นเหวี่ยงขึ้น-ลงเหมือนรถไฟเหาะ จนยากที่จะประเมินว่า ราคาจะไปอยู่ที่จุดไหน
“เชื่อว่าในระยะกลางราคาอาจจะมีย่อตัวลงมาบ้าง แต่ในระยะยาว 1-2 ปีราคาจะขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน” อนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA กล่าว
ความเห็นของอนิพัทย์เกิดขึ้นในระหว่างการประกาศแผนทางธุรกิจ 3 ปี (2568–2570) ซึ่งจะโฟกัส 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ Gold Jewelry Business และ Gold Financing Business
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Goldman Sachs ปรับเป้าทองคำสิ้นปี 2025 ทะลุ 3,700 ดอลลาร์…
- สำรวจปริมาณทองคำสำรอง ประเทศใดมีทองคำในคลังมากที่สุด?
สำหรับธุรกิจ Gold Jewelry Business วางแผนขยายเครือข่ายสาขา ภายใต้แบรนด์ AURORA, เซ่งเฮง, ทองมาเงินไป, AURORA Diamond และ ของขวัญ by AURORA ครอบคลุมฐานลูกค้าทุกเพศทุกวัยทั่วประเทศ จาก 488 แห่ง ในปี 2567 ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาแตะ 644 สาขาในปี 2568 และมุ่งสู่ 1,070 สาขา ภายในปี 2570 โดยใช้งบลงทุนรวมประมาณ 200 ล้านบาท
“แรกๆ เราต้องเปิดสาขาใหญ่เป็นห้องแถว 4 ห้องที่ลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้มาพร้อมกันคือ รู้ว่าทำเลไหนควรเปิดสาขาเล็กหรือสาขาใหญ่ เพื่อให้สามารถคืนทุนให้เร็วที่สุด”
นอกจากนี้ โอกาสในการขยายธุรกิจสู่แบรนด์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเตรียมขยายไปยังกลุ่มทอง 18K ไข่มุก และจิวเวลรีอื่นๆ รุกสินค้ากลุ่มไฮมาร์จิ้น เนื่องจากสินค้าในกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง รวมถึงลงทุน 40 ล้านบาท ซื้อเครื่องหลอมทอง
ส่วนธุรกิจ Gold Financing Business เดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจขายฝากทอง ภายใต้แบรนด์ทองมาเงินไป ให้เติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง ในปี 2567 มีบัญชีลูกหนี้ขายฝาก (AR balance) ณ สิ้นงวด ปี 2567 อยู่ที่ 4,881 ล้านบาท วางเป้าในปี 2568 อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท สู่การเติบโต 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 พร้อมยกระดับประสบการณ์ผ่านระบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน และเพิ่มบริการถึงหน้าบ้าน (Delivery) ทั่วประเทศ
อนิพัทย์มองว่า เป้า 20,000 ล้านบาทแม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะตลาดซื้อขายทองคำในไทยมีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาทด้วยกัน ทำให้มีโอกาสที่ทองมาเงินไปจะสามารถเติบโตได้อีก
ผู้บริหารของ AURORA ย้ำอีกว่า ไม่กังวลกับปัจจัยราคาทองที่มีการปรับเพิ่มขึ้น หรือลดลง เนื่องจากมีกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ทั้งจากขาขายออก และรับซื้อเข้าจากลูกค้า ซึ่งจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบให้เหมาะสมกับช่วงทิศทางราคาทองขณะนั้น
“ความท้าทายคือราคาทองมีผลต่อกำไรในส่วนของธุรกิจค้าปลีกร้านทอง ซึ่งได้มาจาก 2 ข้อคือส่วนต่างราคาทองและค่ากำเหน็จ แต่ตามแผน 3 ปีกำไรมากกว่าครึ่งจะไม่ได้ผูกพันกับราคาทองอีกแล้ว”
แผนที่อนิพัทย์พูดถึงคือการประเมินว่า กำไรขั้นต้น (Gross Profit) จะมีการปรับสัดส่วนจาก ร้านค้าทอง 60% ในปี 2568 เหลือ 44% ในปี 2570 ส่วนธุรกิจสินเชื่อจะปรับขึ้นจาก 20% มาเป็น 40% ส่วนที่เหลือจะมาจากสินค้ากลุ่มไฮมาร์จิ้น
ทั้งนี้ AURORA วางแผนออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ล้านบาทในช่วงต้นไตรมาส 3 นี้เพื่อรองรับการขยายธุรกิจสินเชื่อ แม้จะมีวงเงินกู้ส่วนหนึ่งจากธนาคารแล้วก็ตาม โดยก่อนหน้านี้ได้มีการทดลองออกหุ้นกู้ระยะสั้นเป็นครั้งแรก และประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อทองมาเงินไปเติบโตราวเท่าตัว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้หนุนผลงาน All Time High ในปี 2567 รายได้รวมอยู่ที่ 33,153.9 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 1,134.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.5% จากปีก่อน พร้อมตั้งเป้าปี 2568 ภาพรวมรายได้จะเติบโตต่อเนื่อง และรักษาอัตรากำไรให้เติบโตไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา
อ้างอิง: