ในโลกของฟุตบอลที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ซึ่งถูกขัดเกลามาตั้งแต่วัยเยาว์มากมาย
เจมี วาร์ดี คือข้อยกเว้นที่น่าทึ่งที่สุด แม้เขาจะไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันเปล่งประกาย หรือเติบโตจากอะคาเดมีชื่อดังตั้งแต่ต้น แต่เขาคือคนธรรมดาที่เลือกจะ ‘ไม่ยอมแพ้’ แม้โลกจะปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่คือหนึ่งในนักฟุตบอลผู้มีเส้นทางชีวิตน่าอัศจรรย์ที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนังอังกฤษ
จากเด็กหนุ่มที่ถูกปฏิเสธจากอะคาเดมี สู่พนักงานโรงงาน และสุดท้ายกลายเป็นตำนานของเลสเตอร์ ซิตี้ กับเรื่องราวที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
จุดเริ่มต้นจากศูนย์
วาร์ดีเกิดในเชฟฟิลด์ และเคยเป็นเยาวชนของสโมสรเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ก่อนจะถูกปล่อยตัวตอนอายุ 16 ปี ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วเจ็บลึก ‘ตัวเล็กเกินไป’ นั่นทำให้เขาต้องหันเหจากความฝันชั่วคราว ไปทำงานในโรงงานผลิตเส้นใยคาร์บอนในท้องถิ่น เพื่อประทังชีวิต ในขณะที่เขายังไม่ละทิ้งฟุตบอล และลงเล่นให้ทีมเล็กๆ อย่าง Stocksbridge Park Steels
เขาเคยต้องทำงานกะละ 12 ชั่วโมงในโรงงาน ก่อนจะฝืนร่างกายไปซ้อมฟุตบอลตอนเย็น “ผมเคยเหนื่อยจนขยับขาแทบไม่ได้ แต่ผมก็ยังลงสนาม เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมรัก” เจมีเล่าย้อนถึงช่วงเวลานั้น ห้วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแบ่งเวลาและพลังงานระหว่างงานและความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
“ผมอาจจะผ่านระบบอะคาเดมีมาและทุกอย่างอาจไม่เกิดขึ้น นั่นคือความมหัศจรรย์ของฟุตบอล ผมมาในเส้นทางของตัวเอง และมันได้ผลดีที่สุดสำหรับผม” Jamie Vardy (จากบทสัมภาษณ์ใน Daily Mail)
การต่อสู้และการเติบโต
แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบาก วาร์ดียังคงมุ่งมั่นในเส้นทางฟุตบอล เขาย้ายจาก Stocksbridge ไปเล่นให้กับ FC Halifax Town และยิงได้ 26 ประตูในฤดูกาลเดียว
ก่อนถูกดึงตัวไป Fleetwood Town ที่ซึ่งเขายิงไป 31 ประตูใน 36 นัด แม้จะยังอยู่ในระดับลีกสมัครเล่น แต่ชื่อของเขาก็เริ่มเป็นที่กล่าวถึงในวงกว้าง จนเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมจากลีกแชมเปียนชิปในขณะนั้น ตัดสินใจจ่าย 1 ล้านปอนด์คว้าตัวเขามาร่วมทีมในปี 2012 ซึ่งถือเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดสำหรับนักเตะจากนอกลีก ณ ตอนนั้น
แม้ความฝันจะอยู่ในมือ แต่ชีวิตจริงกลับไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด
ช่วงแรกของเขาที่เลสเตอร์เต็มไปด้วยความกดดัน ความไม่มั่นใจ และมีความคิดถึงขั้นจะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ
จนกระทั่งการได้กำลังใจจากโค้ช ไนเจล เพียร์สัน ชายผู้มองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ช่วยฉุดเขากลับมายืนขึ้นอีกครั้ง
ในฤดูกาล 2013/14 วาร์ดีระเบิดฟอร์มยิง 16 ประตู พาเลสเตอร์เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกในรอบ 10 ปี และเริ่มต้นบทใหม่ของเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อที่สุดบทหนึ่งในวงการลูกหนังอังกฤษ
ตำนานเทพนิยายจิ้งจอก
ทันทีที่เลสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก เจมี วาร์ดี ก็กลายเป็นหัวใจของทีม เขามีบทบาทสำคัญในการช่วยทีมหนีตกชั้นแบบปาฏิหาริย์ช่วงท้ายฤดูกาล พร้อมพาทีมจบอันดับ 14 ได้อย่างยอดเยี่ยม
และฟอร์มที่ร้อนแรงยังพาเขาติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในปี 2015 เป็นเครื่องยืนยันถึงการไต่เต้าจากศูนย์สู่จุดสูงสุดของนักเตะธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ทั้งหมดนั่น…ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น!
เมื่อฤดูกาล 2015/16 ได้กลายเป็นบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ‘ตำนานเทพนิยายจิ้งจอก’ ได้ถือกำเนิด
วาร์ดีผนึกกำลังกับเพื่อนร่วมทีมในเวลานั้นอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิล, เวส มอร์แกน, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ริยาด มาห์เรซ, มาร์ค อัลไบรท์ตัน และอีกมากมาย รวมถึงกุนซือผู้นำทีมด้วยรอยยิ้มและมันสมองอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี พาเลสเตอร์ไล่ล่าความฝันด้วยพลังที่เกินจินตนาการ
วาร์ดียิง 24 ประตูในลีก ทำลายสถิติยิงติดต่อกัน 11 นัดของ รุด ฟาน นิสเตลรอย และช่วยให้เลสเตอร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบ ช็อกโลก! ด้วยอัตราต่อรองที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ที่ 5,000 ต่อ 1
ตำนานที่มากกว่าการทำประตู
หลังคว้าแชมป์ วาร์ดีเลือกต่อสัญญาอยู่กับเลสเตอร์ แทนที่จะย้ายไปสโมสรยักษ์ใหญ่ เขายังคงยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งในพรีเมียร์ลีก, แชมเปียนส์ลีก และฟุตบอลโลก 2018 ที่เขามีส่วนร่วมพาทีมชาติอังกฤษจบทัวร์นาเมนต์ในอันดับ 4
ฤดูกาล 2019/20 วาร์ดีคว้ารองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก ด้วยผลงาน 23 ประตู กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีก และซัดประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก ด้วยการยิงเบิลใส่คริสตัล พาเลซ ในบ้านที่คิง เพาเวอร์ สเตเดียม
ในฤดูกาล 2020/21 เขายิงอีก 17 ประตู และคว้าแชมป์ FA Cup ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยเชื่อกันว่า วาร์ดีอาจเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่เคยลงเล่นในทุกรอบของศึก FA Cup ตั้งแต่รอบคัดเลือก ไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
และปีเดียวกัน เลสเตอร์ยังคว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ด้วยการเฉือนชนะแมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เพิ่มอีกหนึ่งโทรฟีในตู้ของสโมสร
ความภักดีที่ไม่เคยจาง
ในเวลาเดียวกัน แม้ทีมจะค่อยๆ เสียแกนหลักจากการย้ายทีมของสตาร์หลายคน และต้องพบกับความเจ็บปวดครั้งใหญ่เมื่อพวกเขาต้องตกชั้นในปี 2023
แต่เป็นอีกครั้งที่ เจมี วาร์ดี ไม่คิดจากไปไหน
เขายังคงสวมปลอกแขน นำทีมลุยศึกแชมเปียนชิป ยิงไป 20 ประตูในฤดูกาลเดียว พาเลสเตอร์กลับสู่พรีเมียร์ลีกทันทีแบบ ‘Straight back Up’ และเลือกอยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาล 2024/25
ชายผู้ไม่เคยเปลี่ยนไป แม้จะยืนอยู่บนจุดสูงสุด
“เขาคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเลสเตอร์” มาร์ก อัลไบรท์ตัน เอ่ยถึงวาร์ดีในบทสัมภาษณ์จาก BBC Sport
“สิ่งที่เขาทำ ทั้งกับตัวเองและกับทีม จะไม่มีวันถูกลืมจากแฟนเลสเตอร์และสโมสร มันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับทุกคน เพราะมีคนมากมายเติบโตขึ้นมาพร้อมการดูเขาเล่น”
คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่า วาร์ดีไม่ได้เป็นเพียงนักเตะที่ยิงประตูเยอะ หรือมีโมเมนต์ในความทรงจำ แต่เขาคือคนที่มี DNA ของเลสเตอร์ฝังลึกในหัวใจ ภาพจำของเขาคือชายที่แฟนบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดียม เห็นในทุกสุดสัปดาห์ คนที่วิ่งไม่หยุดแม้ทีมเป็นรอง ฉลองประตูแบบสุดชีวิต และไม่เคยปล่อยให้ความพ่ายแพ้กลืนกินหัวใจ
“นักเตะใหม่บางคนเข้ามาพร้อมภาพจำว่าเขาเป็นพวกแสบๆ กวนๆ แต่พอได้รู้จัก พวกเขาจะเข้าใจว่าเบื้องหลังนั้นคือคนที่ติดดิน จริงใจ และให้เกียรติทุกคนในห้องแต่งตัว”
แม้จะเป็นตำนานของสโมสร มีชื่อเสียงระดับโลก แต่วาร์ดีไม่เคยทำตัวเป็นซูเปอร์สตาร์ เขายังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นพ่อบ้านรักครอบครัว และเป็นเพื่อนแท้ของทุกคนในทีม
สิ่งที่มาร์กอธิบาย จึงไม่ใช่แค่คำยกย่องวาร์ดีในฐานะนักฟุตบอล แต่คือคำบอกเล่าถึง ‘ตัวตนวาร์ดี’ ที่แม้จะก้าวไปไกลแค่ไหน…ก็ยังคงเป็นคนธรรมดาที่มีหัวใจนักสู้ไม่เปลี่ยน
บทอำลาที่ไม่มีคำว่า ‘ลาก่อน’
ฤดูกาล 2024/25 กลายเป็นอีกปีที่เจ็บปวดของเลสเตอร์ พวกเขาต้องตกชั้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี แม้พยายามเปลี่ยนแปลง ปรับทีม และหาทางกลับไปยืนตรงจุดเดิมอีกครั้ง
สำหรับวาร์ดีในวัย 38 ปี มันคือการเดินมาถึงทางแยกของชีวิตนักเตะอีกหน
แต่รอบนี้เขาเลือกทำให้สิ่งที่ต่างจากทุกครั้ง ด้วยการเลือกจะเดินออกมาจากทีมที่เขารักมากที่สุด
วาร์ดีประกาศอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ กลายเป็นนักเตะยุคทองคนสุดท้ายของทีมที่ยังอยู่จนถึงวินาทีสุดท้าย
“ผมเสียใจที่วันนั้นมาถึง แต่รู้ดีว่าสักวันมันต้องมาจนได้”
“13 ปีที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยความสำเร็จ แม้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากบ้าง แต่ส่วนใหญ่คือเรื่องที่น่าจดจำ ผมเสียใจมากที่ต้องบอกลา แต่มันคือเวลาที่เหมาะสมแล้ว” วาร์ดีเผยผ่านวิดีโอที่สโมสรโพสต์บนโซเชียลมีเดีย
ตำนานในหัวใจ The Foxes
ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันอำลา
จากเด็กหนุ่มที่เคยถูกปฏิเสธจากอะคาเดมีด้วยเหตุผลว่า ‘ตัวเล็กเกินไป’
จากชายผู้เคยทำงานในโรงงาน และคิดจะเลิกเล่นฟุตบอล เพราะไม่เชื่อว่าจะมีใครมองเห็นคุณค่าในตัวเขา
แต่วันนี้ เจมี วาร์ดี พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเริ่มจากจุดสตาร์ตที่สวยหรู ขอเพียงมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เชื่อมั่นในสิ่งที่รัก และพร้อมจะวิ่งต่อไป ไม่ว่าทางข้างหน้าจะยากแค่ไหนก็ตาม
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่ใช่แค่ ‘นักฟุตบอล’
แต่เรื่องราวนี้ทำให้วาร์ดีถูกมองเป็น ‘แรงบันดาลใจ’ ของผู้คนที่เริ่มต้นจากศูนย์
และเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องราวนี้จะถูกเล่าขานในหน้าประวัติศาสตร์ของ ‘The Foxes’ ไปอีกนานแสนนาน
อ้างอิง: