ผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ หลังจาก แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ที่กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมอบหมายให้ จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมให้รายงานผลความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาใน 15 วัน
‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เริ่มมีการใช้แพร่หลายมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเคมีต่างๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็น 1 ใน 30 ประเทศที่มีกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าหรือผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า
นายกรัฐมนตรีร่วมติดตาม และร่วมแถลงข่าว
การจับกุมผู้ลักลอบนำเข้า และส่งออกบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ
เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา
แน่นอนว่า สิ่งที่สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าครั้งนี้มากที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีออกจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุมจบลง เพื่อเดินทางไปยังอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เพื่อติดตามและร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าและส่งออกบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีร้านค้าย่อยในเครือข่ายทั่วประเทศ โดยสามารถยึดของกลางได้ทั้งหมด 260,000 ชิ้น มูลค่าประมาณ 130 ล้านบาท
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องนี้กับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เพื่อขยายผลการจับกุมต่อเนื่องไปถึงตัวการใหญ่อื่นๆ รวมถึงบริษัทชิปปิ้ง ที่ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนหากพบว่ามีการกระทำความผิด นอกจากนี้ ยังสั่งให้มีการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ รวมถึงการปิดกั้น (Seal) บริเวณเขตชายแดนอย่างเข้มงวด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการรวบรวมเบาะแสและป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด นี่คือมาตรการเชิงรุกที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อไป พร้อมทิ้งท้ายว่า “ไม่จบ ไม่เลิก”
นับจากวันที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 18 มีนาคม มีการจับกุมดำเนินคดีแล้ว 1,741 คดี มีผู้ต้องหา 1,789 คน และสามารถยึดของกลางได้ทั้งสิ้น 1,285,024 ชิ้น รวมมูลค่า 231,881,074 บาท
โทษทางกฎหมาย
ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 กำหนดว่า “ผู้ใดนำเข้าของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการทางศุลกากรเข้าในราชอาณาจักร หรือส่งของดังกล่าวออกไปนอกราชอาณาจักร หรือนำของเข้าเพื่อการผ่านแดน หรือการถ่ายลำเลียงโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น ถือว่ากระทำความผิด”
มาตรา 246 ระบุว่า ผู้ที่ช่วยซ่อนเร้น ซื้อ รับไว้ หรือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นของต้องห้าม ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 กำหนดว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าห้ามขายหรือให้บริการ โดยผู้ประกอบธุรกิจทั่วไปที่ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้าหรือผู้สั่งสินค้า ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โทษต่อร่างกาย
ขณะที่ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า โดยกองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างผลกระทบทางสุขภาพ เช่น เมื่อสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้ความสมบูรณ์ของหลอดเลือดลดลง หลอดเลือดแข็งตัวและตีบตัน และอาจรวมไปถึงภาวะที่หัวใจทำงานหนักขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมากถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ ผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าทุกวันมีโอกาสเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 2.66 เท่า และในกลุ่มผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับการสูบบุหรี่ซิกาแรตทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดสูงกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 4.62 เท่า
ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและปอด เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น และเพิ่มปริมาณของอนุมูลอิสระ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ปอดและสารพันธุกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการถอดรหัสพันธุกรรมและกลไกการทำงานของเซลล์ นำไปสู่การอักเสบและทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืด การบาดเจ็บของปอดอย่างรุนแรง และมะเร็งปอดในระยะยาว
ผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีคุณสมบัติในการกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบการให้รางวัล ซึ่งเป็นระบบที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจหรือความสุขเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น และทำให้เกิดความต้องการที่จะได้รับสิ่งนั้นซ้ำๆ โดยมีการปล่อยสารโดพามีนออกมาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่การเสพติดในที่สุด
นอกจากนี้ nAChRs (Nicotine Acetyl Choline Receptors) ในสมองยังเพิ่มจำนวนตัวรับอย่างมากในระบบประสาทส่วนปลาย เยื่อบุผิว และเซลล์ภูมิคุ้มกัน ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย และอาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า และโรคจิตเภท
ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้ามากถึง 2.10 เท่า และผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าบ่อยครั้งมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าสูงถึง 2.39 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้า อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย รวมถึงทำให้อาการของปัญหาสุขภาพจิตที่มีอยู่รุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้ายังส่งผลต่อสมองที่ทำหน้าที่ตัดสินใจและการควบคุมแรงกระตุ้น ซึ่งยังพัฒนาไม่เต็มที่ในช่วงวัยรุ่น ทำให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมอารมณ์ ส่งผลให้อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง และสมองจะปรับตัวให้คุ้นเคยกับการไม่มีนิโคติน ส่งผลให้เกิดอาการถอนนิโคตินชั่วคราว เช่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย รู้สึกวิตกกังวลหรือซึมเศร้า นอนไม่หลับ มีปัญหาเรื่องสมาธิ และมีความอยากนิโคติน
นอกจากนี้ มีรายงานจากการสำรวจสุขภาพประชาชนโดยการตรวจร่างกายในปี 2562-2563 พบว่า 53% ของวัยรุ่นไทยที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีภาวะซึมเศร้า และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
เสียงจากผู้ใช้: เมื่อรัฐบาลไล่จับ แต่คนยังสูบ
เมื่อนายกรัฐมนตรีแสดงออกว่า ด้วยท่าที ‘ขึงขัง’ และ ‘เอาจริงเอาจัง’ ในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า แต่อีกมุมหนึ่งก็ยังมีประชาชนที่เฝ้าหวังที่อยากจะเห็นการทำให้บุหรี่ไฟฟ้านั้นขึ้นมาบนดิน ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ถูกกฎหมาย เพื่อควบคุม ปกป้องเด็กและแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ได้ถูกจุด
มาริษ กรัณยวัฒน์ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย รัฐสภา และแอดมินเพจ ‘บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร’ ให้ความเห็นกับ THE STANDARD ถึงการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าของรัฐบาลว่า มีหลายแง่หลายมุม โดยมองการปราบปรามในเวลานี้ “ช้าและสายเกินไป”
“เราเรียกร้องตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยที่เด็กยังซื้อไม่ได้ ว่าขอให้ถูกกฎหมายและมีการควบคุม เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชน แต่ตอนนี้เด็กเข้าถึงง่าย และตัวเลขรายได้นำเข้าจากประเทศจีน เฉลี่ยปี 2567 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,400 ล้านบาท เมื่อยอดที่รัฐบาลแถลงนั้น ถือว่าเป็นมูลค่าของปราบปรามที่ยังไม่มากเท่าไรนัก”
ส่วนแอ็กชันของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในครั้งนี้มาริษมองเป็น 2 ประเด็น คือ 1. นโยบายที่เคยหาเสียงไว้เห็นด้วยกับการให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย 2. การจับกุมของผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน
เมื่อกระบวนการที่จะให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายนั้นยังมาไม่ถึง เวลานี้บุหรี่ไฟฟ้าในท้องตลาด 100% จึงยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นตามกฎหมายเมื่อมีไว้ครอบครองก็จะต้องถูกจับกุมตัว จึงเป็นคนละเรื่องกับความคิดเห็นของส่วนใหญ่ของคนในสังคมที่โจมตีนายกรัฐมนตรี ที่เคยบอกว่าจะทำให้ถูกกฎหมาย แล้วเหตุใดจึงมาไล่จับประชาชน
ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏจากการรายงานของสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบของคนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “ผมไม่รู้ว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร ที่บอกว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้ามา 2 ปี เกิดอาการปอดหาย ปอดรั่ว บางคนสูบแค่ไม่กี่วันก็เกิดอาการส่งผลต่อสุขภาพ หากมีเอฟเฟกต์แบบที่เขาพูดกัน ผมใช้มา 10 ปี ถ้าเป็นจริง ผมควรจะตายไปแล้ว 2-3 รอบไหม”
มาริษกล่าวว่า ตนเองเข้าใจบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องออกมาตักเตือนให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงผลกระทบ แต่ในความเป็นจริงปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้า หรือทอยพอตตุ๊กตาต่างๆ ที่เด็กและเยาวชนใช้กันอยู่นั้น เราไม่ทราบที่มาที่ไปว่าผลิตจากที่ไหน เป็นสินค้าจากจีนหรือไม่
กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมและกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย เคยเดินทางไปดูศึกษาดูงานที่ประเทศจีน ซึ่งมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานควบคุมยาสูบของจีน ได้รับการยืนยันว่า เขาห้ามผลิตทอย ไม่ว่าจะใช้ในประเทศ หรือส่งออกก็ตามโดยในประเทศนั้น ทางการจีนอนุญาตให้ขายได้เฉพาะกลิ่นยาสูบเท่านั้น ส่วนกลิ่นอื่นๆ ส่งออกทั้งหมด
ขณะเดียวกันสินค้าในประเทศไทยก็ยังมีสินค้าลอกเลียนแบบ และหลุด QC ไม่ทราบที่มาที่ไปอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น หากบุหรี่ไฟฟ้าแบรนด์ A ขายดี ก็จะมีการลอกเลียนแบบสินค้าแบรนด์ A ออกมาขายปะปนในตลาดบ้านเราด้วย
ส่วนผลกระทบหลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการปราบปรามอย่างจริงจังนั้น มาริษยอมรับว่า ได้มีการพูดคุยกับ ‘ผู้ขาย’ บรรดาผู้ประกอบการต่างๆ มีทั้งส่วนที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล และส่วนที่เก็บตัวเงียบ เปิดหน้าร้านโดยไม่ได้ทำตัวโฉ่งฉ่าง และมีฐานลูกค้าที่สามารถซื้อได้โดยตรงได้เหมือนเดิม
“ที่ไปไล่จับกันทุกวันนี้ รัฐบาลไล่จับไม่หมดหรอก เพราะใต้ดินยังอยู่”
ส่วนกลุ่ม ‘ผู้สูบ’ โดยเฉพาะในกลุ่มเพื่อนของตนเองไม่มีใครเดือดร้อนจากการปราบปรามครั้งนี้เลย กลุ่มที่เดือดร้อนส่วนใหญ่ก็หันกลับไปสูบบุหรี่มวน ซึ่งทั่วโลกมองว่าบุหรี่มวนอันตรายกว่าบุหรี่ไฟฟ้า มีประเทศไทยประเทศเดียวในโลกที่พยายามนำเสนอข่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายกว่าบุหรี่มวน อันตรายกว่ากัญชาเป็นร้อยเท่า ขณะเดียวกันคนที่หันไปสูบบุหรี่มวน เขาไม่ซื้อบุหรี่แสตมป์ไทย แต่ไปซื้อบุหรี่แสตมป์นอก ก็กลายเป็นว่าไปผลักดันให้ตลาดบุหรี่เถื่อนโตขึ้นไปอีก
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหานั้น มาริษกล่าวว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นหนึ่งใน กมธ. และความเห็นของคณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ 80% เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะเอาบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาควบคุม โดยทำให้ถูกกฎหมายเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชน อย่างน้อยให้มีการควบคุมผู้ใช้ และปกป้องคุณภาพสินค้ามากกว่าการผลักให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
“เราแบนมา 10 ปี มีอะไรดีขึ้นไหม ผมเคยขอเหตุผลฝ่ายที่แบนมาว่า แบนมา 10 ปีแล้ว มีอะไรเป็นทิศทางบวกขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็ไม่มี”
มาริษกล่าวอีกว่า ในมุมของตนเอง ไม่ว่าจะมองคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอย่างไร อันตรายหลายเท่า แต่สุดท้ายแล้วคนรับผลกระทบคือคนสูบเพียงผู้เดียว ในขณะที่เสพยาบ้าไม่ได้กระทบแค่คนเดียว กระทบคนรอบข้าง มีพิษภัยก็ต่างกันมากกว่า แต่กลับให้โทษยาบ้าน้อยกว่าบุหรี่ไฟฟ้า “เคยเห็นคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าไปปีนเสา ไปปล้นร้านทอง ไปเอามีดไปจี้ใครหรือไม่ ซึ่งก็ไม่มี”
หากมองในแง่ของรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง ซึ่งมีการเขียนไว้ในตำราอย่างชัดเจนว่า การที่จะให้บางสิ่งบางอย่างถูกกฎหมายจะมีการปราบปรามอย่างรุนแรง เพื่อให้หลาบก่อนแล้ว ค่อยเอาขึ้นมาควบคุม แต่ในกรณีบุหรี่ไฟฟ้านี้ตนเองไม่แน่ใจว่าจะอยู่ในตำรานี้หรือไม่ ตนมองออกแค่ว่า การไล่จับกันในเวลานี้เป็น ‘สังฆทานเวียน’
มาริษเชื่อว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะตั้งเป้าระยะเวลาในการปราบปรามแค่ไหน ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีระบบเก็บค่าสมาชิก มีสังฆทานเวียนอยู่ ก็ไม่มีทางปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าให้หมดไปได้ เหมือนกับที่ ผบ.ตร. ไปเดินวอล์กกิ้งสตรีท พัทยา แล้วบอกไม่มีค้าประเวณี บุหรี่ไฟฟ้าก็เช่นกัน หากรัฐยังจะแบนต่อไป และเพิ่มโทษให้กับผู้ใช้ด้วย นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เก็บเข้าลิ้นชักโต๊ะไปได้เลย
ขณะที่แหล่งข่าวอีกราย ซึ่งเคยสูบบุหรี่มวนก่อนเปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเวลา 3 ปีมาแล้ว กล่าวกับ THE STANDARD ว่า การปราบปรามครั้งนี้ถือเป็นการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่จริงจังมากที่สุด ทำให้นึกถึงตอนสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ปราบปรามยาเสพติด ถือเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดของรัฐบาลแพทองธาร
เขากล่าวต่อว่า ข้อดีของการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าครั้งนี้คือ จะทำให้คนสูบน้อยลง และอาจเป็นตัวช่วยที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบด้วย ส่วนข้อเสียเห็นว่า โทษทางกฎหมายนั้นรุนแรงเกินไป เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นสามารถดำเนินคดีได้เลย ซึ่งรู้สึกว่าโทษรุนแรงมากเกินไป หากรัฐบาลคิดจะปราบอย่างจริงจัง
เขายังให้ความเห็นเพิ่มว่า เมื่อรัฐบาลเริ่มที่ปราบปรามแล้ว ควรจะมีแนวทางให้กับผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนกับคนเสพยาเสพติดด้วย ผู้ค้าเสพติดก็ได้รับโทษไป คนที่เป็นผู้เสพก็เข้ารับการบำบัด อยากให้คนสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้รับโอกาสในการบำบัดเช่นเดียวกัน
แม้รัฐบาลจะออกหน้าปราบปรามอย่างจริงจัง แต่บุหรี่ไฟฟ้าจะยังมีอยู่ แม้จะลดลงกว่าก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไป 3 เดือน, 6 เดือน หรือมากกว่านั้นว่า อัตราการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าจะน้อยลงหรือไม่ แต่เชื่อว่าไม่มีทางที่หมดไป และไม่มีทางที่คนไทยจะเลิกสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างสิ้นเชิง
แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้ายว่า บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมาย สามารถกำหนดโซนนิ่งในการขายเหมือนเช่นกัญชา ทั้งจำกัดอายุ ผู้ใช้บริการ แต่อีกทางแก้ คือ ผู้ผลิตควรทำให้บุหรี่มวนกลับมาคุณภาพดีเหมือนเดิม