หลังได้ชมสมรรถนะของ F-35 ในงาน 88 ปีกองทัพอากาศด้วยตาของตัวเองแล้ว คนไทยหลายคนน่าจะให้ความสนใจกับหนึ่งในเครื่องบินรบที่ดีที่สุดในโลกลำนี้มากขึ้น และอาจมีบางส่วนที่อยากเห็นกองทัพอากาศไทยจัดหาเข้ามาประจำการไปเลย
อย่างไรก็ตามในอีกด้าน ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีความสับสนและความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ F-35 ในหลายประเทศค่อนข้างมาก กล่าวคือแคนาดาซึ่งลงนามจัดหา F-35 จำนวน 88 ลำมูลค่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (6.27 แสนล้านบาท) ออกมาประกาศว่าอาจจำเป็นต้องยกเลิกการจัดหา F-35 บางส่วนเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐอเมริกาด้านความมั่นคงจากความไม่แน่นอนของนโยบายของทรัมป์
ส่วนโปรตุเกสที่กำลังมองหาเครื่องบินรบมาทดแทน F-16 ก็ออกมาเปรยว่าเครื่องบินแบบใหม่ควรจะต้องพิจารณาเครื่องบินรบจากยุโรปก่อนสหรัฐฯ เนื่องจากไม่แน่ใจในท่าทีของพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ
และสุดท้ายก็คือมีเสียงเรียกร้องให้เยอรมนีพิจารณายกเลิกการจัดหา F-35 เพิ่มเติมในอนาคต เพราะกังวลว่าสหรัฐฯ อาจมีขีดความสามารถในการสั่งให้เครื่องบินหยุดทำงานได้ถ้าเยอรมนีไม่ปฏิบัติตามสหรัฐอเมริกาหรือกลัวว่าเครื่องบินจะมี Kill Switch นั่นเอง
แม้ว่าเรื่อง Kill Switch นั้นทางผู้ผลิตอย่าง Lockheed Martin รวมถึงอีกประเทศที่กำลังจัดหา F-35 ไปใช้งานคือสวิตเซอร์แลนด์นั้นจะออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการฝังระบบอะไรแบบนี้ในเครื่องบินรบ แต่อาการกังวลหรือจะเรียกง่ายๆ ว่านอยด์จากพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่ออกมาพร้อมๆ กันแบบนี้มีจุดร่วมเดียวกันคือการพลิกกลับท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์
สำหรับยุโรปแล้ว เหตุการณ์ในไครเมียเมื่อปี 2014 กลายเป็นการจุดประกายความกังวลว่าภัยคุกคามจากรัสเซียจะกลับมาใหม่หลังจากจบสงครามเย็นไปแล้ว และความกลัวกลายมาเป็นจริงเมื่อรัสเซียบุกโจมตียูเครนเมื่อสองปีก่อน หลายประเทศในยุโรปที่ถือว่ายูเครนเปรียบเหมือนสนามหญ้าหน้าบ้านของตัวเองนั้นไม่ใช่เพียงแต่ถูกเพื่อนบ้านเดินลัดสนาม แต่กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านเข้ามายึดสนามหญ้านั้นไว้เป็นของตัวเอง แล้วอะไรจะรับประกันได้ว่าวันหนึ่งเพื่อนบ้านจะไม่คืบหน้าเข้ามายึดตัวบ้าน ซึ่งหมายถึงไม่มีอะไรรับประกันแล้วว่าสักวันหนึ่งรัสเซียจะไม่บุกโจมตียุโรปโดยตรง
ดังนั้นการเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารจึงกลายเป็นสิ่งที่ยุโรปเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงหลังประเทศในยุโรปหารือกันถึงการพัฒนายุทโธปกรณ์ร่วมกันเพื่อเพิ่มการพึ่งพากันเองในหมู่ประเทศยุโรป เนื่องจากเหตุผลคือหลายประเทศในยุโรปมองว่าสหรัฐฯ เริ่มเปลี่ยนไปผูกมิตรกับรัสเซียและทิ้งให้ยุโรปเอาตัวรอดคนเดียว เหมือนการที่พันธมิตรของตนหันหน้าไปผูกมิตรกับศัตรู ซึ่งเรื่องนี้สั่นคลอนความมั่นใจของยุโรปต่อสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
และเหยื่อของเรื่องนี้ก็คือโครงการพัฒนาอาวุธที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นั่นก็คือเครื่องบินขับไล่ F-35 เพราะจากเครื่องบินขับไล่ที่ตั้งใจจะออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินราคาถูกเพื่อใช้ในกองทัพสหรัฐฯ และขายให้ชาติพันธมิตร แต่ด้วยขีดความสามารถขั้นสูงที่ยังหาคนเทียบได้ยาก ประกอบกับ F-35 เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 มาตรฐานตะวันตกเพียงแบบเดียวที่มีใช้งานและพร้อมขายให้กับพันธมิตรต่างชาติ รวมไปถึงการแข่งขันทางทหารกับจีนและข่าวการขโมยเทคโนโลยีของ F-35 จากสายลับจีน ทำให้สหรัฐฯ ใช้ F-35 เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการทูต ซึ่งสหรัฐฯ จะพร้อมขายให้กับประเทศที่พร้อมยอมรับและคล้อยตามการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เท่านั้น
จึงมีหลายครั้งที่ประเทศที่สั่งซื้อ F-35 ต้องเผชิญกับตัวเลือกที่ยากลำบากในการตัดสินใจ เช่นกรณีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่สหรัฐฯ ยื่นเงื่อนไขให้ยกเลิกสัญญากับบริษัทของจีนก่อนที่จะอนุมัติให้จัดหา ซึ่งสุดท้ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ล้มเลิกความตั้งใจในการจัดหา F-35 เพราะไม่ต้องการตัดสัมพันธ์กับจีนและเปลี่ยนไปจัดหา Rafale ของฝรั่งเศสแทน
หรือในกรณีของตุรกีที่แม้จะเป็นประเทศสมาชิก NATO และเข้าร่วมวิจัย F-35 กับสหรัฐฯ มาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แย่ลงหลังประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน กล่าวหาว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังความพยายามก่อรัฐประหารในตุรกี บวกกับการที่ตุรกีเลือกจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ของรัสเซียมาใช้งาน ซึ่งสหรัฐฯ คัดค้านอย่างรุนแรงเพราะเกรงว่าความลับทางทหารบน F-35 อาจถูกรัสเซียขโมยไปจากการใช้งานพร้อมกับ S-400 จึงต้องการให้ตุรกียกเลิกการจัดหา S-400 ซึ่งตุรกีปฏิเสธ สหรัฐฯ จึงตัดสินใจยกเลิกคำสั่งซื้อเครื่องบิน F-35 ทั้งหมดของตุรกีและขับตุรกีออกจากผู้ร่วมวิจัยในโครงการ F-35 อย่างถาวร
ซึ่งเรื่องแบบนี้คือสิ่งที่น่ากังวลจริงๆ เพราะแม้ว่าข่าวลือเรื่องการที่ F-35 มี Kill Switch จะถูกพิสูจน์มาแล้วว่าไม่จริง แต่การตัดการสนับสนุน อะไหล่ และการปรับปรุงระบบต่างๆ ต่างหากที่จะทำให้เครื่องบินใช้งานไม่ได้ และที่สำคัญก็คือ สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ประเทศผู้ใช้งานสามารถปรับปรุง แก้ไข หรือแม้แต่ซ่อมบำรุง F-35 ได้เองทั้งหมด มีอุปกรณ์จำนวนมากที่ต้องส่งกลับมาทำการตรวจเช็กและซ่อมบำรุงที่สหรัฐฯ เนื่องจากมาตรการรักษาความลับทางทหาร ดังนั้นถ้าวันใดวันหนึ่งสหรัฐฯ ตัดสินใจยกเลิกไม่ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ของ F-35 ให้กับประเทศใดประเทศหนึ่ง ฝูงบิน F-35 ทั้งฝูงก็อาจจะเป็นอัมพาตไม่สามารถใช้งานได้เลยภายในเวลาแค่เดือนเดียว
และสำหรับยุโรป สิ่งนี้จะไม่น่ากลัวถ้าสหรัฐฯ เป็นสหรัฐฯ ที่คาดเดาได้ว่าจะยืนข้างยุโรป แต่เมื่อสหรัฐฯ เปลี่ยนเป็นสหรัฐฯ ที่ (ในมุมมองของยุโรปเองนั้น) พร้อมไปยืนข้างรัสเซียซึ่งเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงอันดับหนึ่งของยุโรป ความกังวลว่าการฝากอนาคตด้านความมั่นคงไว้กับอาวุธของสหรัฐฯ เป็นหลักจึงกลายเป็นความเสี่ยง
แม้ว่าในปัจจุบัน ยุโรปจะมีเครื่องบินรบที่พัฒนาขึ้นเองอย่าง Rafale ของฝรั่งเศส Eurofighter Typhoon ของสหราชอาณาจักร สเปน เยอรมนี และอิตาลี รวมถึง Gripen ของสวีเดน แต่เครื่องบินทั้งสามแบบล้วนเป็นเครื่องบินยุคที่ 4.5 ซึ่งเก่ากว่า F-35 ประกอบกับการพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นใหม่ของยุโรปที่วางแผนจะกระโดดไปพัฒนาเครื่องบินในยุคที่ 6 เลยอย่าง FCAS ของฝรั่งเศส สเปน และเยอรมนี และ GCAP ของสหราชอาณาจักร อิตาลี และญี่ปุ่นนั้น ก็ยังอีกไกลที่จะเข้าประจำการ ยังไม่นับความขัดแย้งและความเห็นที่ไม่ตรงกันของการแบ่งงานกันทำและการออกแบบเครื่องบินของแต่ละชาติ ทำให้ในอีก10 ปีนับจากนี้ F-35 จะยังเป็นกระดูกสันหลังของความมั่นคงของยุโรป แต่กลายเป็นว่ายุโรปมองว่ามันไม่มั่นคงอีกแล้วภายใต้ท่าทีของรัฐบาลทรัมป์
นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแต่ละประเทศที่ประกาศจะจัดหา F-35 หรืออยู่ในระหว่างการจัดหา F-35 จะลดคำสั่งซื้อหรือแม้แต่เปลี่ยนคำสั่งซื้อไปจัดหาเครื่องบินขับไล่ของยุโรปทั้งสามแบบต่อหรือไม่ แต่ย้อนกลับมาถึงคำถามว่าประเทศไทยควรจะเปลี่ยนไปจัดหา F-35 แทนดีกว่าหรือไม่หลังจากเห็น F-35 ตัวเป็นๆ บินแสดงโชว์กันแล้ว คำถามตรงนี้อาจจะไม่ต้องตอบด้วยการวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์หรือขีดความสามารถทางเทคโนโลยีใด เพราะประเทศไทยกับ F-35 แทบจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ปัจจัยแรกที่ต้องพิจารณาคือเรื่องเงิน เพราะไทยไม่มีขีดความสามารถในการซื้อเครื่องบินรบที่แพงกว่าลำละ 4 พันล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการบินชั่วโมงละเกือบ 1 ล้านบาทมาใช้งานเหมือนกับที่กองทัพอากาศเคยนึกอยากจะใช้เมื่อสองปีก่อนแน่นอน