ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและมาตรการกระตุ้นการส่งออกของรัฐบาลจีน ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์สินค้าจีนล้นตลาด (Overcapacity) และทะลักเข้าสู่ตลาดโลก ซึ่งรวมถึงตลาดในภูมิภาคอาเซียน อันเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
การทุ่มตลาดของสินค้าจากจีนที่มีราคาถูกและต้นทุนต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง หลายกรณีต้องปิดตัวไปเพราะสู้ไม่ไหว แน่นอนว่าท้ายที่สุด ปัญหานี้จะส่งผลลุกลามไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ไทยและประเทศอาเซียนรับมือกับปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาอย่างไร ท่ามกลางความท้าทายจากการที่จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ และแรงกระตุ้นจากสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
นอกเหนือจากการฝ่าคลื่นความท้าทายจากสินค้าจีน คำถามใหญ่คือไทยจะพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร?
สงครามการค้า 1.0 จุดเริ่มต้นสินค้าจีนทะลัก
ปัญหาสินค้าจีนทะลัก เริ่มต้นมาตั้งแต่ยุค ‘ทรัมป์ 1.0’ หรือรัฐบาลสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยสหรัฐฯ เปิดฉากสงครามการค้าในปี 2018 ด้วยการขึ้นกำแพงภาษี ทำให้จีนต้องหาตลาดระบายสินค้าใหม่ และหนึ่งในเป้าหมายคือประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มอาเซียน
ในยุคไบเดน จีนเดินหน้าสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งเงินทุนและสินเชื่อ ส่งผลให้ภาคการผลิตเติบโตอย่างรวดเร็ว สวนทางกับภาคการบริโภคภายในประเทศที่ไม่กระเตื้องขึ้น สินเชื่อจำนวนมากไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็ก, EV, โซลาร์เซลล์, พลังงานสะอาด, และเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้จีนสามารถผลิตสินค้าออกมาได้ในปริมาณมาก และนำไปสู่ปัญหาสินค้าล้นตลาดและเกิดการทุ่มตลาดในต่างประเทศ
สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน โดยไทยกระทบหนัก เพราะราคาสินค้าจีนที่ถูกกดลงต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ยาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, และเสื้อผ้า ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงผลกระทบจากการเข้ามาของสินค้าจีนจำนวนมหาศาล
อ้างอิง: บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX)
แรงกระตุ้นของสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0
รศ. ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน อดีตอาจารย์เศรษฐศาสตร์การเมืองมหาวิทยาลัย National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) อธิบายว่า แรงกระตุ้นของสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 นั้นส่งผลกระทบทางอ้อมต่อปัญหาสินค้าจีนทะลัก เนื่องจากผู้ผลิตทางฝั่งจีนนั้น มีกำลังการผลิตที่ล้นเกินมาตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19
โดยก่อนวิกฤตโควิด เศรษฐกิจของจีนค่อนข้างดี มีการพูดถึงการเติบโตระดับ 8-10% เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในขณะที่ผู้ผลิตได้วางแผนการผลิตและลงทุนโรงงานไว้แล้ว ทำให้สินค้าคงเหลือเป็นจำนวนมาก และตัวเลขสินค้าคงคลังของจีนล้นทะลักมาตั้งแต่ช่วงโควิดแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ผลที่ตามมาคือ สินค้าเหล่านี้มีโอกาสที่จะต้องหาตลาดใหม่ และแน่นอนว่า เมื่อพิจารณาประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะประเทศที่มีการลงนามในสัญญาการค้าเสรี และประเทศที่มีกฎระเบียบค่อนข้างเบา ซึ่งก็คือประเทศไทย ผลกระทบทางอ้อมจึงมีโอกาสเกิดขึ้นในปีนี้ค่อนข้างสูง
จีนพลิกแนวคิด ปัญหาอาจไม่สาหัส
อย่างไรก็ตาม ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้ความเห็นในอีกมุมว่า แนวโน้มสงครามการค้ากับจีนที่อาจรุนแรงขึ้นจากท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจไม่ส่งผลให้ปัญหาสินค้าจีนล้นตลาด เพิ่มความน่ากังวลมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยชี้ถึงหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้น คือ ‘การเปลี่ยนแปลงในเชิงแนวคิด’ ของผู้นำจีน
ที่ผ่านมา จีนมุ่งเน้นการผลิตและส่งออกสินค้าไปนอกประเทศ ไม่เน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศมากนัก
โดยหากมองจากท่าทีของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในอดีต คาดว่าอาจเป็นเพราะความกังวลว่า การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากเกินไป จะกลายเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนขี้เกียจในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่าหนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือการที่จีนเริ่ม ‘เปลี่ยนท่าที’ หันมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
โดยเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา จีนได้ประกาศ ‘แผนปฏิบัติการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค’ ซึ่งถือเป็นความพยายามสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้ ในการประชุม 2 สภา นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง ยังได้ส่งมอบรายงานประจำปีเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาล ซึ่งระบุว่า การกระตุ้นการบริโภค ถือเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดสำหรับปีหน้า
หลี่เฉียง ยังกล่าวคำว่า “Prepare for changes unseen in a century.” ซึ่งถือเป็นคำพูดที่มีนัยมาก เพราะหมายความได้ว่า สงครามการค้าของโลกในสมัยทรัมป์ 2 จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปี
“พูดง่ายๆ คือการที่ทรัมป์ทำสงครามการค้าครั้งนี้ คนที่ได้รับผลกระทบอาจจะกลับกลายเป็นสหรัฐฯ เอง แล้วก็อาจจะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นมหาอำนาจโลกที่ครองมายาวนานในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นมหาอำนาจโลก จีนก็ต้องขึ้นมาแทนที่ และสิ่งที่จะต้องเตรียมตัวก็คือ การที่ต้องทำเศรษฐกิจในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ฐานการบริโภคต้องมีมากขึ้น เพื่อมาทดแทนการส่งออกที่แย่ลง”
REUTERS : RC2VADARV4QA
สำหรับภาพใหญ่ที่เห็นได้ชัดจากการประชุม 2 สภาของจีนคือ
- ตั้งเป้า GDP ขยายตัว 5% ต่อปี
- เพิ่มการขาดดุลการคลังขึ้น 4% สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ และตั้งเป้าออกพันธบัตรระยะยาว 1.3 ล้านล้านหยวน
- ลดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็น 2% ครั้งแรกใน 2 ทศวรรษ
- กระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านมาตรการต่างๆ เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ การลดหย่อนทางภาษี, สนับสนุนเงินช่วยเหลือในการซื้อสินค้าใหม่, กระตุ้นอุตสาหกรรม AI EV การผลิตเครื่องบิน เรือ และธัญพืช
ทั้งหมดเป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความพร้อมของจีนสำหรับการเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่ง โดยหันมาเน้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
ข้อดีแม้ว่าจีนจะยังคงเน้นการส่งออก แต่การปรับเปลี่ยนทิศทางนี้อาจช่วยบรรเทาปัญหาการทุ่มตลาดลงได้บ้าง
ผลกระทบ SMEs ในอาเซียน
การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ SMEs ในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ราคาสินค้าจีนที่ต่ำกว่ามาก ซึ่งเป็นผลมาจาก Economy of Scale หรือการผลิตสินค้าในจำนวนมากและต้นทุนต่ำ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้ SMEs ในอาเซียนไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่งผลให้ธุรกิจท้องถิ่นจำนวนมากต้องปิดกิจการลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน เช่น Shein และ Temu ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอัตราการจ้างงาน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
นอกเหนือจากผลกระทบด้านราคาและการแข่งขันแล้ว สินค้าจีนที่เข้ามาในตลาดอาเซียนยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพ โดยปรากฏรายงานบ่อยครั้ง เกี่ยวกับสินค้าที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคในภูมิภาค
ไทยควรรับมืออย่างไร?
รายงาน ‘ผลกระทบจาก China Flooding ต่อภาคเศรษฐกิจของไทย’ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เผยแพร่เมื่อปลายปี 2024 ระบุว่า อุตสาหกรรมหลักของไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ได้แก่อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และสิ่งทอ ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อภาคการผลิตไทย
โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ มีขนาด 1 ใน 4 ของภาคการผลิต และมีการจ้างงานในระบบประกันสังคมถึง 8 แสนคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของการจ้างงานในภาคการผลิตในระบบประกันสังคม จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และรัฐบาลควรพิจารณาการพัฒนาศักยภาพของประเทศในด้านการแข่งขัน ก่อนที่ผลกระทบจะเริ่มลุกลามกว่าในปัจจุบัน
แนวทางรับมือปัญหานี้ ถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทาย เพราะไทยอาจไม่สามารถใช้มาตรการกีดกันทางภาษีที่รุนแรงได้ เนื่องจากผลกระทบที่ตามมา ทั้งในเรื่องของการทูตและการผิดเงื่อนไขข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งไทยและจีนต่างเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมาตรการสกัดสินค้าจีนทะลักที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่ มี 5 มาตรการหลัก ได้แก่
- บังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ในการตรวจสอบสินค้านำเข้า ทั้งเรื่องพิกัดสินค้า, ภาษี, มาตรฐานสินค้า (มอก.) และใบอนุญาต (อย.) ตรวจสอบการขายสินค้าออนไลน์ที่ได้มาตรฐาน มีมาตรการเชิงรุกตรวจสอบผู้ประกอบการและป้องกันการทำธุรกิจของนอมินี
- ปรับปรุงกฎระเบียบ โดยให้แพลตฟอร์มต่างชาติที่ขายสินค้าในไทยต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทย และเพิ่มสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับ (สมอ.)
- มีมาตรการทางภาษี โดยกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศและแพลตฟอร์มต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขณะที่กรมการค้าต่างประเทศ จัดอบรมให้ความรู้กับภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ
- ช่วยเหลือ SMEs ไทย ด้วยการพัฒนาศักยภาพ SMEs ด้านการผลิตและการทำธุรกิจ และส่งเสริมการส่งออกผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
- สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการค้าผ่านอีคอมเมิร์ซกับประเทศคู่ค้า เช่น จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค
ขณะที่ รศ. ดร.วีระยุทธ ให้ความเห็นว่า “มาตรการป้องกันปัญหาของรัฐบาล ที่เริ่มทำเมื่อปลายปี 2024 ถือว่าช้าไปพอสมควร เพราะเปรียบเทียบแล้วเหมือนกับ น้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนแตก แต่เราเพิ่งจะหาอุปกรณ์มากั้นไม่ให้น้ำมันไหลแรงโดยไม่ได้สร้างกำแพงหรือทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวในการป้องกัน”
สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ ผู้ประกอบการไทยแทบทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านดิจิทัล หรือแม้แต่ผลิตผลทางการเกษตรต่างก็เจ็บปวดร่วมกัน
ในเชิงมาตรการ แม้จะเห็นความพยายามที่เข้มข้นขึ้นจริง แต่เนื่องจากเหมือนเขื่อนแตก น้ำทะลักลงมา มาตรการป้องกันกำลังคนที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนการตรวจตู้คอนเทนเนอร์ก็คงต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย มิฉะนั้นจะทำได้แค่เพิ่มจำนวนแต่เทียบไม่ได้เลยกับปริมาณสินค้าที่ไหลทะลักเข้ามา
“ต้องบอกว่าต้องเพิ่มทั้งเรื่องกำลังคนและกฎระเบียบด้วย ยกตัวอย่างเช่น มาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม สมอ. มีแค่ 144 มาตรฐาน ซึ่งยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด นี่ไม่นับเรื่องกำลังคนว่าสามารถเข้าไปตรวจในแต่ละตู้คอนเทนเนอร์ที่เข้ามาได้แค่ไหน กี่เปอร์เซ็นต์ของสินค้าที่เข้ามามีมาตรฐานหรือไม่ ดังนั้นต้องบอกว่า ต้องเพิ่มทั้งเรื่องกำลังคนและกฎระเบียบ”
เขายังเสนอว่า ยังมีมาตรการการค้าอื่นๆ ที่รัฐบาลแทบไม่เคยนำมาใช้ ตัวอย่างเช่น กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีเครื่องมือหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเครื่องมือต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) หมายความว่า ถ้ามีการทุ่มตลาดเข้ามา โดยขายราคาต่ำกว่าทุนเพื่อตัดราคาสินค้าในประเทศนั้นๆ กระทรวงพาณิชย์สามารถใช้มาตรการตอบโต้ได้
หรืออีกอันคือมาตรการ Safe Guard หมายความว่าหากสัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากจนเห็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าบางประเภทเข้ามาตีตลาดมากเป็นพิเศษจนทำลายสินค้าในประเทศ เราก็มีเครื่องมือ คือ Safe Guard หรือชื่อเต็มว่า ‘มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น’ ซึ่งหลายประเทศก็ใช้กัน แต่ไทยยังไม่เคยใช้
“หมายความว่าเราควรนำทางเลือกเชิงนโยบายทั้งหมดมาพิจารณา แล้วดูว่าจะใช้มาตรการใดกับประเทศใดจึงจะเหมาะสม ซึ่งยังไม่เคยมีการพูดคุยและวางยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน”
ด้าน ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีมาตรการในการดูแลปัญหาและลดผลกระทบ เพื่อให้ผู้ผลิตของไทยได้มีเวลาในการปรับตัว
โดยภายใต้ภาวะสงครามการค้ารอบปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มว่าแรงกดดันจากการเข้ามาของสินค้าจีนจะเพิ่มขึ้นอีก สิ่งที่ต้องทำในระยะเร่งด่วน คือต้องผลักดันให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ให้ผู้ผลิตสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแข่งขันในกฎกติกาเดียวกันกับผู้ผลิตในประเทศ (Level Playing Field) เช่น เรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้า การจัดตั้งธุรกิจของต่างชาติ การเสียภาษี VAT และภาษีนิติบุคคล รวมถึงการกำกับดูแลการค้าขายสินค้าทางออนไลน์ให้อยู่บนมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็จะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคไปพร้อมกันด้วย
นอกจากนี้ ยังควรเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ผลิตสินค้าของไทย เช่น ขยายตลาดใหม่ๆ ตลอดจนสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโอกาสที่ไทยจะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของโลกได้ด้วยเช่นกัน
รายงานของ ธปท. ยังได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหา ว่าจำเป็นต้องอาศัยนโยบายที่เหมาะสมและตรงจุด
โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดส่งออกให้กับจีน ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการหาตลาดใหม่ทดแทน
ในขณะที่สินค้าที่มีความเสี่ยงจากตลาดในประเทศ ได้แก่ เหล็ก ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ อาจต้องการนโยบายจากภาครัฐในการปกป้องทางการค้าที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งจะมีส่วนช่วยปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่มีความเสี่ยงได้รับความเสียหายตามความเหมาะสม
นอกจากนี้ การกำหนดมาตรฐานหรือคุณภาพสินค้านำเข้า รวมถึงมาตรการยกระดับความสามารถทางการผลิต (Production Capability) ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานโลก พร้อมกับการลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อการพัฒนาสู่การผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคการผลิตไทยในระยะยาว
เทียบโมเดลประเทศอาเซียน
สำหรับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน มีมาตรการที่แตกต่างกันเพื่อปกป้องผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมภายในของตน
โดยอินโดนีเซียได้ใช้มาตรการที่เข้มงวด เช่น
- ห้ามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำอีคอมเมิร์ซโดยตรง เช่น การสั่งปิด TikTok Shop เพื่อป้องกันสินค้าจีนราคาถูกถล่มตลาด กระทบต่อผู้ค้ารายย่อยในท้องถิ่น
- เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่กระทบต่อ SMEs ในประเทศ
- สนับสนุนสินค้าท้องถิ่นผ่านโครงการ ‘Bangga Buatan Indonesia’ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าในประเทศ
ในขณะที่เวียดนามเลือกใช้การออกกฎหมายในการป้องกันสินค้าจากจีนและปกป้องผู้ประกอบธุรกิจของตน ได้แก่
- ออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต้องเสียภาษีเหมือนธุรกิจท้องถิ่น เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี
- เพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอาหารที่นำเข้าจากจีน
- ส่งเสริมให้ธุรกิจในประเทศใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของเวียดนามแทนแพลตฟอร์มจีน
ส่วนมาเลเซียให้ความสำคัญกับการควบคุมสินค้าจีนผ่านมาตรฐานและคุณภาพ โดยออกข้อกำหนดมาตรฐานสินค้า เพื่อให้สินค้านำเข้าต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ
นอกจากนี้ยังพยายามผลักดันให้ธุรกิจ SMEs ปรับตัวสู่ดิจิทัล โดยให้เงินสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการขยายสู่ตลาดออนไลน์
สำหรับฟิลิปปินส์ใช้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นกว่า ด้วยการใช้นโยบายภาษีนำเข้าแบบไดนามิก โดยจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ปราณีมองว่า การใช้มาตรการรับมือของประเทศต่างๆ แตกต่างกันไปตามบริบทและความเหมาะสมของแต่ละประเทศ
ตัวอย่างเช่น อินโดนีเซีย ที่สามารถกำหนดมาตรการหลายอย่างได้พร้อมกัน อาจเป็นเพราะอำนาจต่อรองที่อินโดนีเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นแหล่งผลิตแร่นิกเกิลรายสำคัญของโลก
แต่สำหรับไทย แม้จะใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีหรือ Anti-Dumping ภายใต้กรอบของ WTO ได้ แต่ยังดูแลได้เฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการค้าขายอย่างไม่เป็นธรรม โดยอาจจะยังมีสินค้าอีกหลายกลุ่มที่ต้นทุนการผลิตของจีนต่ำกว่าไทย ซึ่งเมื่อประกอบกับช่องทางการค้าขายกับจีนที่สะดวกขึ้นทั้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และการขนส่ง จึงทำให้ผู้ผลิตของไทยไม่ทันได้มีเวลาปรับตัวและได้รับผลกระทบ
หนทางไทย พลิก ‘วิกฤต’ เป็น ‘โอกาส’
ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นในบทความแสดงความเห็นเรื่อง ‘ตั้งหลักให้ถูกในการรับมือคลื่นสินค้าและทุนจีน’ ที่เผยแพร่ทาง THE STANDARD ระบุว่า ปรากฏการณ์ไหลทะลักของคลื่นสินค้าและทุนจีน ด้านหนึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องตั้งรับให้ดี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มาพร้อมกับโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย
เขาชี้ถึง 4 โอกาสสำคัญ ได้แก่
- การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เครื่องจักร และวัตถุดิบ ราคาถูกจากจีน ซึ่งรัฐบาลอาจตั้ง Taskforce ขึ้นมาอีกหนึ่งหน่วยที่จะรับผิดชอบเรื่องการวิเคราะห์ทำ Matching เทคโนโลยี เครื่องจักร และวัตถุดิบ จากจีนที่เหมาะสมเข้ากับภาคธุรกิจไทย
- การดึงดูดคลื่นการลงทุนจากจีน โดยพยายามดึงดูดทุนจีนที่มีคุณภาพและทุนจีนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต และมุ่งเน้นผลลัพธ์ 2 ประการ คือการถ่ายทอดเทคโนโลยี กับการพยายามส่งเสริมให้ทุนจีนที่มาลงทุนใช้ห่วงโซ่การผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องหรือ Local Content ภายในประเทศไทยให้มากที่สุด
- ส่งเสริมทุนไทยร่วมกับทุนจีนรุกตลาดอาเซียนภาคพื้น (ตลาด CLMV) ร่วมกัน โดยอาศัยฐานการผลิตในประเทศไทย ศักยภาพของตลาดผู้บริโภคในภูมิภาคที่ยังเติบโต และจุดแข็งในความเข้าใจกลไกธุรกิจและวัฒนธรรมของอาเซียนภาคพื้นของทุนไทย
- ใช้แพลตฟอร์มจีนรุกกลับเข้าในตลาดจีน โดยตลาดผู้บริโภคของจีนก็ยังคงเป็นตลาดที่มีขนาดมหึมาและมีพลังการบริโภคมหาศาล ซึ่งการใช้แพลตฟอร์มจีนรุกเข้าไปในตลาดจีนยังจะทำให้ผู้ประกอบการไทยและภาคนโยบายไทยได้เรียนรู้อุปสรรคทางการค้ากับจีน ซึ่งจะช่วยในการสื่อสารและเจรจากับจีน เพื่อผ่อนคลายอุปสรรคทางการค้าเหล่านั้นด้วย
ขณะที่ ดร.ปิยศักดิ์ มองว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นทั้ง ‘โอกาส’ และ ‘หนทาง’ ที่อาจช่วยบรรเทาปัญหาสินค้าจีนล้นตลาด คือการที่จีนเองก็ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ รวมถึงไทย เพื่อแสดงออกในฐานะตัวแทนประเทศกำลังพัฒนาที่ต่อกรกับการบูลลี่และเอารัดเอาเปรียบของรัฐบาลทรัมป์
เขาเชื่อว่า การที่จีนต้องการจะเป็นตัวแทนประเทศกำลังพัฒนา จะส่งผลให้ปัญหาการทุ่มตลาดของสินค้าจีนมายังไทยและประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ในระยะต่อไป ลดน้อยลง
“ในเชิงภาพใหญ่ จีนก็อาจจะต้องการมุ่งเน้นการค้าเสรี และการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือสหรัฐฯ ซึ่งในสมัยของทรัมป์ คือกลายเป็นมหาอำนาจที่เอารัดเอาเปรียบประเทศอื่น ด้วยความที่จีนต้องการจะเป็นตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนา การที่จะส่งสินค้ามาทุ่มตลาดในระยะต่อไปน่าจะลดลง” ดร.ปิยศักดิ์ กล่าว
หลังจากนี้ ภาพที่น่าจะปรากฏมากกว่า คือการเข้ามาลงทุนของจีนที่มากขึ้น โดยรัฐบาลไทยคงต้องจับตามองสิ่งที่จะตามมา ทั้งในเรื่องของ Supply Chain การจ้างงานคนไทย การใช้วัตถุดิบของไทยในการผลิต ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ
ในขณะที่การกำหนดนโยบายของภาครัฐ อาจจะต้องส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นดีมานด์ในประเทศให้มากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีผลต่อความต้องการเข้ามาลงทุน
แน่นอนว่าสินค้าจีนราคาถูกที่ทะลักเข้ามาจะส่งผลกระทบต่อ SMEs ไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคของจีน รวมถึงการวางตัวเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของประเทศกำลังพัฒนา อาจช่วยบรรเทาปัญหาให้ไทยได้ในระยะยาว
อ้างอิง:
- https://asiasociety.org/policy-institute/chinas-overcapacity-may-become-southeast-asia-problem-if-trumps-tariffs-materialise
- https://asiasociety.org/policy-institute/asean-caught-between-chinas-export-surge-and-global-de-risking
- https://asia.nikkei.com/Spotlight/The-Big-Story/Southeast-Asia-pushes-back-on-cheap-Chinese-imports
- https://www.voanews.com/a/thailand-joins-other-asia-nations-in-battle-against-cheap-chinese-imports/7906265.html
- https://asia.nikkei.com/Opinion/ASEAN-must-juggle-China-s-export-surge-with-global-de-risking
- https://www.reuters.com/technology/tiktok-violates-indonesian-in-app-transactions-ban-says-minister-2024-02-20/
- https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/research-and-publications/research/economic-pulse/economic-pulse-no8-china-flooding.pdf
- https://thestandard.co/thai-measures-chinese-product-import-control/