เพียง 45 วินาทีหลังเสียงนกหวีดแรกของการแข่งขัน จอร์ดี้ฮีโร่อย่าง แจ็คกี้ มิลเบิร์น สามารถทำประตูขึ้นนำให้ นิวคาสเซิล ได้เปรียบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับในวันนั้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่สุดท้ายพลพรรคแม็กไพส์จะคว้าชัยชนะได้ด้วยสกอร์ 3-1 ต่อหน้าผู้ชมถึงกว่า 100,000 คนที่เข้ามาชมที่เวมบลีย์ในยุคที่ยังมีหอคอยคู่อยู่
แชมป์ในครั้งนั้นของนิวคาสเซิลเป็นการตอกย้ำยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ของชาวไทน์ไซด์ เพราะเป็นการคว้าแชมป์เอฟเอคัพหนที่ 3 ในช่วงระยะเวลา 5 ปี และเป็นการคว้าแชมป์เอฟเอคัพรวมเป็นสมัยที่ 6
สถิติการทำประตูภายใน 45 วินาทีของมิลเบิร์นยังเป็นสถิติทำประตูที่เร็วที่สุดในนัดชิงเอฟเอคัพที่ยืนยงมาจนถึงปี 1997
ลองจินตนาการว่าหลังจบเกมในครั้งนั้นจะมีแฟนชาวทูน อาร์มี่ สักกี่คนที่คิดว่าพวกเขาคงน่าจะได้ฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ในลอนดอนอีกในเร็วๆ นี้
“ไว้เจอกันใหม่” หลายคนอาจคิดแบบนี้และบอกมิตรสหายไปแบบนั้น
โดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าพวกเขาต้องรอคอยอีกยาวนานถึง 70 ปี และผ่านความเจ็บปวดแบบซ้ำๆ อีกถึง 9 ครั้งกว่าที่จะได้มีรอยยิ้มและได้ฉลองชัยชนะด้วยกันอีกครั้งที่เมกะลูกหนังแห่งนี้
และนี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดที่เข้าใจได้ว่าทำไมชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาถึงมีความหมายกับชาวจอร์ดี้มากมายถึงขนาดนี้
นิวคาสเซิลเป็นเมืองที่แปลกในทางลูกหนัง
แม้ว่าจะเป็นเมืองใหญ่แต่พวกเขาไม่ได้มีสโมสรฟุตบอลมากมายหลายแห่งเหมือนเมืองอื่นเขา สโมสรฟุตบอลแห่งเดียวที่มีในเมืองแห่งนี้คือนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งตามพงศาวดารลูกหนังแล้วก่อตั้งในปี 1881 (เริ่มจากสแตนลีย์ เอฟซี ที่ต่อมารวมกับอีสต์เอนด์ เอฟซี มาเป็นนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในปี 1892) แต่ละสนามฟุตบอลแห่งเดียวที่จะรวมตัวทุกคนคือเซนต์เจมส์พาร์ก ที่เริ่มใช้งานเป็นครั้งแรกในปี 1886
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ทำให้นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ได้รับความรักจากชาวไทน์ไซด์อย่างล้นปรี่ เพราะไม่ต้องแบ่งหัวใจนี้ไปให้ใคร
ความรัก ความทุ่มเท ความคลั่งไคล้ของแฟนบอลชาวจอร์ดี้ (Geordies) หรือที่เรียกกันว่าเหล่าทูน อาร์มี่ (Toon Army) – ซึ่งมีทฤษฎีบอกว่ามาจากคำว่าไทน์ (Tyne) แม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านเมือง แต่สำเนียงแปร่งของคนจอร์ดี้ดันออกเสียงคล้าย ‘ทูน’ และอีกทฤษฎีคือชาวจอร์ดี้ออกเสียงคำว่า ‘ทาวน์’ (Town) เป็น ‘ทูน’ (Toon) – นั้นขึ้นชื่อว่าไม่เคยเป็นสองรองใครบนแผ่นดินอังกฤษ
เป็นความรักที่ไม่มีข้อแม้และไม่มีเงื่อนไข
นั่นอาจเป็นเพราะถ้าไม่รักทีมนี้ ไม่เชียร์ทีมนี้ พวกเขาก็ไม่มีทีมฟุตบอลอะไรให้เชียร์แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้นชาวจอร์ดี้ได้รับการปลูกฝังเรื่องความรักและผูกพันกับสโมสรมายาวนานตั้งแต่เกิด
ดังนั้นไม่ว่าทีมจะอยู่ยุคสมัยที่ประสบความสำเร็จ หรือตกต่ำจมลงในความมืดมนอนธการ ชาวจอร์ดี้จะอยู่เคียงข้างสโมสรเสมอแบบ No Matter What
เรื่องที่น่าเศร้าคือพวกเขาต้องทนทุกข์อยู่กับความตกต่ำและความเจ็บปวดที่ยาวนาน ทั้งๆ ที่เคยเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของวงการฟุตบอลอังกฤษ โดยเฉพาะในยุค 1930 เป็นต้นมา ต่อในช่วงหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2
การคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 3 ในรอบ 5 ปี และเป็นการคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 6 ของนิวคาสเซิลที่ทำได้ตั้งแต่ปี 1955 หรือเมื่อ 70 ปีที่แล้ว คือฟิล์มกระจกที่เก็บความทรงจำของความยิ่งใหญ่ในวันวานไว้ แต่มันถูกเก็บเอาไว้อย่างดีจนเกินไป จนผู้คนนั้นลืมไปหมดแล้วว่าช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่นั้นมีหน้าตาแบบไหน
โทรฟีสุดท้ายที่ได้คืออินเตอร์ซิตี้แฟร์คัพ (Inter-City Fairs Cup) หรือยูฟ่าคัพในเวลาต่อมา และยูฟ่ายูโรปาลีกในปัจจุบัน ซึ่งก็ได้มาเมื่อปี 1969 หรือ 56 ปีที่แล้ว
ยากจะบอกได้ว่าชาวจอร์ดี้ที่ทันช่วงเวลานั้นยังเหลืออยู่อีกกี่มากน้อย
เพราะมันนานเหลือเกิน เปรียบได้ดังชั่วอายุคน
ในหนึ่งชั่วอายุนั้นมีความพยายามที่จะกอบกู้สโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ให้กลับมาผงาดอย่างสง่างามอีกครั้ง โดยเฉพาะความพยายามครั้งใหญ่ของมหาเศรษฐีผู้เป็นสายเลือดแท้ของชาวจอร์ดี้ ที่ร่ำรวยมีเงินทองมากมายและปรารถนาที่จะเห็นภาพในความทรงจำที่สวยงามกลับมาอีกครั้ง
มหาเศรษฐีคนดังกล่าวคือ เซอร์ จอห์น ฮอลล์ ที่กลายมาเป็นประธานสโมสรในปี 1992 ซึ่งหลังมีอำนาจในการบริหาร ได้แต่งตั้ง เควิน คีแกน ตำนานกองหน้าทีมชาติอังกฤษ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทนที่ ออสซี อาร์ดิเลส อดีตสตาร์ต่างชาติคนแรกๆ ของฟุตบอลอังกฤษที่เคยโด่งดังกับสเปอร์ส
คีแกน ความจริงแล้วด้วยศักดิ์และสิทธิ์เขาคือหนึ่งในซูเปอร์สตาร์ระดับสูงสุดของประเทศ เป็นอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ เป็นนักเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ถึง 2 สมัย ประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะกับลิเวอร์พูล หรือฮัมบูร์ก ในบุนเดสลีกา ประเทศเยอรมนี
พูดแบบนี้จะบอกว่าคีแกนไม่จำเป็นต้องรับงานจาก เซอร์ จอห์น ฮอลล์ ก็ได้ เขามีสิทธิ์จะเลือกได้ และนิวคาสเซิลในเวลานั้นก็สถานการณ์ตกที่นั่งลำบาก พวกเขามีโอกาสจะตกชั้นจากดิวิชัน 2 (เดอะแชมเปียนชิปในปัจจุบัน) ไปสู่ดิวิชัน 3 (ในขณะนั้น หรือลีกวันในปัจจุบัน) ด้วยซ้ำไป
แต่ ‘เดอะไมตี้เมาส์’ ตอบตกลงที่จะรับตำแหน่งนี้ด้วยเหตุผลเดียวกับ เซอร์ จอห์น ฮอลล์
เพราะเขาเองก็เป็นสายเลือดจอร์ดี้ทั้งตัวและหัวใจเหมือนกัน
คำว่าสายเลือดจอร์ดี้นี้ยิ่งใหญ่ และมันเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทั้งประธานสโมสรและผู้จัดการทีมตั้งใจจะพานิวคาสเซิลกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ด้วยการหนุนหลังทางการเงินแบบไม่อั้น ทีมแม็กไพส์ (ซึ่งมาจากสีขาวดำของนกแม็กไพส์ อันเป็นสีประจำสโมสร) กวาดต้อนนักเตะฝีเท้าดีมามากมายในช่วงเวลานั้น
จากทีมที่ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด คีแกนพานิวคาสเซิลหนีพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ ก่อนจะพาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และเขย่าวงการอย่างรุนแรงด้วยฟุตบอลเกมรุกบุกแหลกเป็นดังพายุสีขาวดำที่เร้าใจที่สุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์
ความฝันของ เซอร์ จอห์น ฮอลล์ ที่อยากเห็นทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้อีกครั้งหลังจากที่ได้แชมป์ในครั้งสุดท้ายเมื่อฤดูกาล 1926/27 เข้าใกล้ความจริงเมื่อนิวคาสเซิลนำห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เริ่มครองความยิ่งใหญ่ในเวลานั้นถึง 12 คะแนนในเดือนมีนาคม
แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์ของคีแกน และความพ่ายแพ้ในวินาทีสุดท้ายของเกมต่อลิเวอร์พูลทีมเก่าของเขาในเกมที่ได้รับการยกย่องว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ (4-3, 1996) ทำให้สุดท้ายนิวคาสเซิลพลาดแชมป์อย่างน่าเจ็บปวด
โดยที่หลังจากนั้นพวกเขาก็เหมือนทีมต้องสาปที่อาจจะมีโอกาสเข้าใกล้ความสำเร็จบ้าง มีช่วงเวลาที่ดีบ้าง เช่น การคืนถิ่นของจอร์ดี้ฮีโร่อย่าง ‘ฮอตช็อต’ อลัน เชียเรอร์ ที่กลับมาเล่นให้สโมสรบ้านของตัวเองด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 ล้านปอนด์ ในปี 1996 และสุภาพบุรุษลูกหนัง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่เข้ามาคุมทีม
แต่ก็ไม่มีแม้สักครั้งที่จะได้เฉลิมฉลองกันอีกครั้ง
และในบางช่วงเวลาก็แทบมองไม่เห็นแสงของความหวังเลย
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ตกอยู่ใต้ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดแทบไม่ต่างอะไรจากการวนเวียนอยู่ในขอบฟ้าเหตุการณ์และถูกหลุมดำค่อยๆ ดูดกลืนเข้าไปในยุคสมัยที่พวกเขาได้ประธานสโมสรผู้เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง ไมค์ แอชลีย์ มาเป็นผู้ปกครอง
เจ้าของธุรกิจร้านเครื่องกีฬา Sports Direct ที่ซื้อหุ้นของสโมสรที่กำลังย่ำแย่มาครองได้ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงหุ้นของ เซอร์ จอห์น ฮอลล์ จำนวน 41.6 เปอร์เซ็นต์ด้วย ซึ่งเข้ามาด้วยท่าที่เป็นมิตรกับแฟนบอล แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งเพราะการบริหารที่เลวร้าย และไม่ยอมลงทุนใดๆ ทั้งสิ้นถ้าไม่เจียนตัวเจียนตายจริงๆ
ในยุคสมัยนี้พวกเขาตกชั้นจากลีกสูงสุดถึง 2 ครั้งในฤดูกาล 2008/09 และอีกครั้งในฤดูกาล 2015/16 โดยที่ทีมเหมือนอยู่กันไปวันๆ
แต่ถึงจะเจ็บปวดอย่างไร จะบ่นบ้าระบายออกมาแบบไหน ทูน อาร์มี่ ก็ยังคงอยู่เคียงข้างทีมและสโมสรเสมอ ด้วยความหวังว่าสักวันจะมีใครสักคนที่พาพวกเขาผ่านพ้นช่วงยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุดนี้ไปได้
วันนั้นมาถึงจริงเมื่อ อแมนดา สเตฟลีย์ นักธุรกิจสาวที่ช่ำชองในการลงทุนในเกมฟุตบอลนำพา PIF กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย มาซื้อกิจการของสโมสรแห่งนี้ต่อจากแอชลีย์ที่ใจอยากจะขายหุ้นออกไปมานานแล้วแต่ติดปัญหามากมายในการเจรจาจนไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก็ล้มเหลวตลอด
ถึงแม้โลกภายนอกจะมองการเข้ามาของกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางว่าเป็น ‘ตัวร้าย’ ที่มีโอกาสจะบ่อนทำลายวงการฟุตบอลอังกฤษ ในแบบเดียวกับที่ทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปลี่ยนฉากทัศน์พรีเมียร์ลีกด้วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่สำหรับชาวจอร์ดี้แล้ว พวกเขาไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรติดใจ
จะมีใครที่แย่กว่าแอชลีย์อีกหรือบนโลกใบนี้?
ไม่น่ามี
จากจุดนั้นเองที่นิวคาสเซิลค่อยๆ พาตัวเองกลับมา
แม้พรีเมียร์ลีกจะวางกฎที่เป็นเหมือนการสกัดจุดในหนังกำลังภายในไม่ให้ PIF ใช้เงินอัดฉีดลงทุนอย่างรวดเร็วด้วยกฎที่เรียกว่า Associated Party Transactions (APTs) ที่จำกัดการสนับสนุนสโมสรผ่านบริษัทในเครือข่ายของเจ้าของสโมสร แต่นิวคาสเซิลก็ค่อยๆ กลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง
หนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการเลือก เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือมือดีชาวอังกฤษแท้ๆ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมต่อจาก สตีฟ บรูซ ในเดือนพฤศจิกายน 2021 โดยไม่ได้เลือกบรรดาผู้จัดการทีมหรือโค้ชชาวต่างชาติที่โด่งดังหรือประสบความสำเร็จมากกว่า
ฮาวเปลี่ยนทีมที่เล่นอย่างเลวร้ายให้กลับกลายเป็นทีมที่เล่นได้อย่างน่าเชียร์ อาจจะไม่สวยงามด้วยสไตล์การเล่น แต่นิวคาสเซิลนั้นได้ทั้งบู๊และบุ๋นถ้าต้องสู้ก็สู้แบบถึงลูกถึงคน แต่ถ้าถึงจังหวะต้องเล่นอย่างฉลาดพวกเขาก็มีไหวพริบที่จะเอาตัวรอดได้
ขณะที่ PIF อนุมัติงบประมาณในการเสริมผู้เล่นให้ฮาวสร้างทีมของเขา ซึ่งก็กลายเป็นทีมปัจจุบันที่หากอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องกลัว ด้วยผู้เล่นอย่าง บรูโน กิมาไรส์, ซานโดร โตนาลี รวมถึง อเล็กซานเดอร์ อิซัค นักเตะที่สืบทอดตำนาน ‘ฮีโร่ดาวยิงหมายเลข 9 ของชาวจอร์ดี้’ ในยุคนี้
นิวคาสเซิลพร้อมจะเป็นทีมตัวแสบของทีมยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
และแน่นอนรวมถึงลิเวอร์พูล ซึ่งโชคร้ายที่ต้องมาเจอกับพวกเขาในช่วงเวลาที่ไม่น่าเจอมากที่สุด
70 ปีหลังชัยชนะครั้งสุดท้ายที่เวมบลีย์ การเป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังถึง 9 ครั้งติดต่อกันโดยไม่มีสักครั้งที่จะได้พบกับชัยชนะ
ทีมที่อาจจะไม่พร้อมที่สุดในทางขุมกำลังด้วยการบาดเจ็บของนักเตะหลายคน รวมถึงการขาด แอนโธนี กอร์ดอน ที่ติดโทษแบนจากใบแดงที่ไม่ควร แต่พวกเขากลับพร้อมที่สุดในเรื่องของสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ ขณะที่เหล่าทูน อาร์มี่ ยกพลปูพรมถล่มเมืองหลวง ย้อมลอนดอนในวันเสาร์ ก่อนจะย้อมสนามเวมบลีย์ในยุคใหม่ในวันอาทิตย์ให้กลายเป็นสีขาวดำของพวกเขา
ในความรู้สึกแล้วนิวคาสเซิลนั้นชนะตั้งแต่ก่อนเกมจะเริ่มแล้วด้วยซ้ำ ด้วยพลังของชาวจอร์ดี้ และไอเดียของสโมสรที่แจกผ้าพันคอไว้ให้ทุกที่นั่งให้แฟนบอลได้ใช้โบกสะบัดสร้างขวัญและกำลังใจ ปลุกไม่ให้นักเตะที่ลงสนามเผลอไผลหย่อนยาน
ค็อปชนที่ว่าสุดยอดแค่ไหนก็ต้องยอมแพ้ใจให้แก่ทูน อาร์มี่
สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกับสภาพของลิเวอร์พูลที่บอบช้ำมาทั้งร่างกายที่กรำศึกหนักต่อเนื่องมาหลายนัดโดยที่ อาร์เน สลอต แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นชุดหลักให้ได้ไปพักผ่อนบ้างเลย และสภาพจิตใจที่เหลวแหลกมาจากการเพิ่งพ่ายแพ้ตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยการดวลจุดโทษที่แอนฟิลด์ต่อปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทำให้นิวคาสเซิลเหนือกว่าทุกอย่างทุกตอน ตั้งแต่ต้นจนจบเกม
โดยเฉพาะการจุดประกายสำคัญก็ยังมาจากประตูขึ้นนำในช่วงท้ายครึ่งแรกของ แดน เบิร์น สายเลือดจอร์ดี้ของแท้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งของเกม ก่อนที่อิซัคจะมาทำประตูหนีห่างที่เป็นเหมือนการฝังลิเวอร์พูลที่ป้อแป้ให้ตายทั้งเป็น
100 กว่านาทีในสนาม นอกจากฝีเท้าที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่เป็นสองรองใครทั้งนั้น นักเตะทุกคนสู้สุดชีวิต โดยเฉพาะ ‘นักสู้’ อย่างกิมาไรส์, เบิร์น, โตนาลี และคนสำคัญที่สุดในบทบาทเบื้องหลังอย่างโชเอลลินตัน
การระเบิดอารมณ์สะใจทุกครั้งที่สกัดบอลได้ไม่ว่าจะจังหวะใหญ่หรือเล็ก คือการสะท้อนพลังกันไปมากับเหล่าทูน อาร์มี่ ที่ตามมาเชียร์กันในสนาม
นั่นทำให้สตาร์ของลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่ในสภาพอ่อนระโหย ไม่ว่าจะเป็น โม ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก โชตา หรือ โดมินิก โซโบสไล ยิ่งเล่นก็ยิ่งเหี่ยวยิ่งทดท้อ ซ้ำร้ายการขาด เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้ทีมไม่เหลือจินตนาการในการเล่น
ทุกอย่างเข้าทางนิวคาสเซิลหมด เหมือนเต้นระบำอยู่บนมือพวกเขา
มากกว่านั้นคือบทเรียนจากความผิดหวังในนัดชิงชนะเลิศครั้งก่อนเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่ทำดีมาตลอดแต่พลาดท่าเสียทีแมนฯ ยูไนเต็ดช่วงท้ายเกม ทำให้นักเตะชุดขาวดำทุกคนไม่มีใครยอมผิดพลาดอีกเลย
ความผิดพลาดเดียวที่เกิดขึ้นคือการปล่อย เฟเดริโก เคียซา ให้หลุดมายิงประตูตีไข่แตกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเท่านั้น แต่หลังจากนั้นนิวคาสเซิลแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยแชมป์ที่ถือเอาไว้สองมือนี้หลุดไปอย่างเด็ดขาด
ทุกการเข้าสกัด จังหวะการไปเล่นที่มุมธง ทุกฉากทุกตอน พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจะเป็นผู้ชนะให้ได้ในวันนี้
และนั่นทำให้ที่สุดแล้วหลังการรอคอย 7 ทศวรรษ กับการเข้าชิงครั้งที่ 10 ที่เวมบลีย์
นิวคาสเซิล ได้โทรฟีในประเทศรายการแรกของพวกเขาเสียที
ไม่ว่าจะกี่น้ำตาที่เคยเสียไปตั้งแต่วันนั้นมา วันนี้ทูน อาร์มี่ ได้ร้องไห้ด้วยความรู้สึกปีติท่วมท้นกับคำว่าแชมป์อีกครั้ง
แชมป์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในชาตินี้
และสำหรับคนที่รู้ว่าการรอคอยนั้นใช้ความอดทนมากแค่ไหน คงไม่แปลกใจหากการฉลองที่ไทน์ไซด์จะยาวนาน
70 ปีที่รอคอย ความรู้สึกมันหอมหวานเช่นนี้เอง