หากพูดถึงบุคคลที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการแฟชั่นในระดับโลก คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เอ่ยถึงชื่อ Carine Roitfeld แม้ว่าอาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูในหมู่คนทั่วไปมากนัก แต่ในแวดวงแฟชั่นเธอคือไอคอนผู้ทรงอิทธิพลที่ได้รับการยกย่องและยอมรับจนถูกบันทึกอยู่ใน BoF 500 ด้วยฝีมืออันโดดเด่น วิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ และสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์
Carine Roitfeld ไม่ได้เป็นเพียงแค่สไตลิสต์หรือบรรณาธิการ แต่เธอเป็นผู้กำหนดทิศทางแฟชั่นที่กล้าหาญและท้าทายขนบธรรมเนียม ซึ่งนั่นทำให้ชีวิตและผลงานของเธอกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของแฟชั่น รวมไปถึงวิธีการทำงานที่มีความสร้างสรรค์และไม่เคยหยุดนิ่ง
สัปดาห์นี้ THE STANDARD POP จึงอยากพาคุณไปสำรวจเส้นทางชีวิตและผลงานอันน่าทึ่งของหญิงผู้เป็นไอคอนแห่งวงการคนนี้ ว่าความสำเร็จของเธอนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
HOW SHE STARTED
Carine Roitfeld เริ่มต้นก้าวแรกในเส้นทางอาชีพของเธอในฐานะนางแบบวัยรุ่น และผันตัวมาเป็นสไตลิสต์อิสระที่ร่วมงานกับนิตยสารหลายเล่มในฝรั่งเศส ก่อนที่จะได้รับโอกาสสำคัญราวๆ ปลายทศวรรษที่ 1980 กับการได้เข้าทำงานในสื่อนิตยสารแฟชั่นชั้นนำที่มีชื่อเสียงอย่าง ELLE ซึ่งกลายเป็นรากฐานอันหนักแน่น เพื่อต่อยอดให้ความเชี่ยวชาญของเธอกลายเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ เมื่อปี 1990 เธอยังพบกับ Mario Testino ช่างภาพมากฝีมือในกองถ่ายแฟชั่นเซ็ตของ VOGUE bambini ในฐานะแม่ของ Julia Restoin Roitfeld ที่แม้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างสไตลิสต์และช่างภาพ ซึ่งจะมาเป็นคู่หูผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นต่อจากนี้
GUCCI FILES
สำหรับหมุดหมายแรกที่ทำให้ชื่อของ Carine Roitfeld กลายเป็นที่กล่าวขานในฐานะสไตลิสต์มือทอง ต้องขอย้อนไปในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เมื่อ Carine Roitfeld และ Mario Testino ได้รับมอบหมายจาก Tom Ford ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Gucci ให้มาช่วยฟื้นฟูแบรนด์ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความนิยมในตลาดแฟชั่น ด้วยสไตล์ของ Carine Roitfeld ที่เต็มไปด้วยความเซ็กซี่ กล้าหาญ และขบถ เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Tom Ford ที่ต้องการนำเสนอแบรนด์ให้ทันสมัยและน่าดึงดูดใจมากขึ้น จึงทำให้แคมเปญโฆษณาของ Gucci ที่มาพร้อมความเย้ายวนถึงขีดสุด กล่าวถึงเรื่องเซ็กซ์อย่างเปิดเผย สร้างความฮือฮาและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในยุคนั้น จนส่งผลให้ Gucci กลับมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลกอีกครั้ง และนับเป็นปรากฏการณ์ทางแฟชั่นที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในวงการมาจนถึงปัจจุบัน
TOM & CARINE INFLUENCE
สายสัมพันธ์ระหว่าง Carine Roitfeld, Tom Ford และ Mario Testino ไม่ได้จบลงแค่การทำงานที่ Gucci เท่านั้น แต่ยังเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปพร้อมกับการทำโปรเจกต์ต่างๆ ที่ Tom Ford ดูแล ตั้งแต่การรีแบรนด์ YSL ภายใต้บทบาทครีเอทีฟไดเรกเตอร์ Carine Roitfeld ก็ยังเป็นสไตลิสต์คนสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังภาพแคมเปญ Rive Gauche อันน่าจดจำ จากการสร้างสุนทรียศาสตร์ที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราคลาสสิกตามแบบฉบับฝรั่งเศสและความเย้ายวนแบบโมเดิร์น ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพถ่ายขาว-ดำของโมเดลหญิงที่เผยเรือนร่างบางส่วน รวมไปถึงเธอยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ Tom Ford ไว้วางใจให้ช่วยกำหนดสไตล์และภาพลักษณ์ของแบรนด์ TOM FORD ในช่วงแรกที่เปิดตัว ซึ่งตอกย้ำความสามารถในการสร้างสรรค์เรื่องราวและอารมณ์ที่สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
จนถึงตอนนี้หากจะกล่าวว่า Carine Roitfeld มีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดสร้างสรรค์ของ Tom Ford ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเขายังเคยกล่าวถึงเธอในฐานะมิวส์หรือแรงบันดาลใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทั้งความเคารพและชื่นชมในสไตล์และวิสัยทัศน์ของเธอ อีกทั้งทั้งคู่ก็นับเป็นผู้เปิดประตูบานใหม่ให้ผู้คนได้ค้นพบเสน่ห์ทางแฟชั่นที่ต่างไปจากขนบเดิมนั่นเอง
EDITOR-IN-CHIEF OF VOGUE PARIS
หลังสร้างความสำเร็จในบทบาทสไตลิสต์มาอย่างยาวนาน Carine Roitfeld ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร (Editor-in-Chief) ของนิตยสารแฟชั่นชื่อดังของ Condé Nast ฉบับภาษาฝรั่งเศสในปี 2001 หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ VOGUE PARIS ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตการทำงานของเธอ โดยจากภาพลักษณ์เดิมที่เน้นสไตล์คลาสสิก สง่างาม เธอเลือกที่จะผลักดันให้ภาพถ่ายแฟชั่นในนิตยสารมีความกล้าหาญมากขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุค 1970 สื่อสารทั้งความเซ็กซี่ เย้ายวน ไร้ขีดจำกัด และเต็มไปด้วยความท้าทายต่อมาตรฐานความงามแบบเดิมๆ นอกจากนี้เธอยังไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ในกรอบของแฟชั่น แต่ยังนำเสนอประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมผ่านงานสื่อนิตยสารอีกด้วย ทำให้ผลงาน VOGUE PARIS ภายใต้การนำของเธอตลอดทศวรรษ จนถึงในวันอำลาตำแหน่งเมื่อปี 2011 เต็มไปด้วยภาพถ่ายแฟชั่นที่ทรงพลังและเป็นที่จดจำ มีการใช้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมร่วมสมัย ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของ VOGUE ในประเทศอื่นๆ เช่นกัน จนสามารถกล่าวได้ว่า Carine Roitfeld คือผู้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับนิตยสารแฟชั่น และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและความคิดสร้างสรรค์เลยก็ว่าได้
HARPER’S BAZAAR GLOBAL FASHION DIRECTOR
เวลาผ่านไปไม่นานนัก Carine Roitfeld ก้าวสู่บทบาทใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้นในปี 2012 โดยเข้ารับตำแหน่ง Global Fashion Director ของ Harper’s BAZAAR ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่เธอขยายขอบเขตการทำงานจากนิตยสารแฟชั่นฉบับเดียว ไปสู่การกำหนดทิศทางแฟชั่นระดับนานาชาติให้กับ Harper’s BAZAAR ทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าต้องพ่วงมากับการถูกจับตามองจากคนในวงการมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ในบทบาทนี้ Carine Roitfeld ยังคงความเป็นตัวเองผ่านการนำเสนอแฟชั่นในรูปแบบที่แปลกใหม่ กล้าหาญ และเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนตามสไตล์ของเธอ ตลอดจนมีบทบาทในการคัดเลือกสไตลิสต์และช่างภาพที่มีความสามารถ ซึ่งเป็นการปรับภาพของ Harper’s BAZAAR ทั่วโลกให้ล้ำสมัยและเป็นที่จดจำ อีกทั้งยังสร้างแฟชั่นสเปรดสุดไอคอนิกอย่าง ‘Icons’ ไฮไลต์ประจำปีของนิตยสาร ซึ่งนำเหล่าคนดังระดับโลกมาเล่าเรื่องราวผ่านภาพถ่ายแฟชั่นสุดพิเศษ และเป็นผู้จัด Icons Party ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนกันยายน และได้รับการยอมรับว่าเป็นงานเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการของ New York Fashion Week จากการรวมตัวของบุคคลสำคัญในวงการแฟชั่น เซเลบริตี้ และอินฟลูเอ็นเซอร์จากทั่วโลก
‘MADEMOISELLE C’ DOCUMENTARY
แน่นอนว่าผลงานต่างๆ ที่เธอได้สร้างไว้ให้กับเหล่าคนรักแฟชั่นนั้นควรค่าแก่การได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก จึงมีการสร้างภาพยนตร์สารคดี Mademoiselle C ออกฉายในปี 2013 ที่บอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังชีวิตของ Carine Roitfeld หลังจากที่เธอลาออกจากตำแหน่งบรรณาธิการบริหารของ VOGUE PARIS ในปี 2011 ให้ทุกคนได้รู้จักกับตัวตนอันน่าทึ่งของเธอมากยิ่งขึ้น โดยสารคดีนี้ได้รับการกำกับโดย Fabien Constant เน้นการติดตามเธอที่เดินทางสู่กรุงนิวยอร์ก นำเสนอชีวิตประจำวันในช่วงที่เธอกำลังริเริ่มโปรเจกต์นิตยสารของตนเองอย่าง CR Fashion Book ที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบของนิตยสารแฟชั่นกระแสหลัก ซึ่งจะทำให้ผู้ชมได้เห็นการทำงานของเธออย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การวางแผนคอนเซปต์แฟชั่น การเลือกทีมงาน รวมถึงการทำงานร่วมกับเหล่าคนดังและช่างภาพ พร้อมนำเสนอภาพลักษณ์ของ Carine Roitfeld ที่แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่ปรากฏในนิตยสารแฟชั่น โดยแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท ความคิดสร้างสรรค์ ความท้าทาย และความซับซ้อน ของการทำงานในวงการนี้ที่เธอต้องเผชิญ ตลอดจนเผยให้เห็นด้านการเลี้ยงดูครอบครัวและชีวิตส่วนตัวที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน
สำหรับกระแสตอบรับนั้น สารคดีเรื่องนี้ได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลก และได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่มีคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในด้านแฟชั่น เนื่องจาก Mademoiselle C ไม่ได้เป็นเพียงแค่สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของ Carine Roitfeld เท่านั้น แต่ยังเป็นสารคดีที่สะท้อนให้เห็นถึงยุคสมัยและวัฒนธรรมของวงการแฟชั่นในปัจจุบันอีกด้วย
PERFUME LINE
นอกจากการสร้างอิทธิพลในแวดวงแฟชั่นแล้ว Carine Roitfeld ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสรรค์ของเธอที่ไม่จำกัดอยู่แค่เพียงเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์น้ำหอมหรู BYREDO ในปี 2014 เพื่อสร้างกลิ่นน้ำหอมที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะตัวทั้งในแง่ของความสง่างามและเสน่ห์ที่เย้ายวนในชื่อ CR Women โดยได้รับออกแบบให้มีการผสมผสานของกลิ่นที่กล้าหาญและเซ็กซี่ มอบประสบการณ์ใหม่ที่ดึงดูดใจเหล่าคนรักน้ำหอม และตอกย้ำความสำเร็จในเส้นทางนี้อีกครั้งด้วยการร่วมมือครั้งที่ 2 ในปี 2018 เพื่อสร้างกลิ่นน้ำหอมคอลเล็กชัน 7 Lovers ซึ่งเป็นชุดน้ำหอมที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนถึงบุคลิกและความรู้สึกของผู้หญิงในแง่มุมต่างๆ จากความรักหลากหลายรูปแบบ โดยใช้ความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัวของ Carine Roitfeld เป็นแรงบันดาลใจในการเลือกส่วนผสม และน้ำหอมนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงมีคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของ Carine Roitfeld ที่ชัดเจนผ่านการเลือกกลิ่นที่กล้าแสดงออก มีเอกลักษณ์ จนเรียกว่าเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงแฟชั่น ศิลปะ และกลิ่น ไว้ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว