เช้าวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม ดูจะไม่เป็น ‘เสาร์สนุก’ สำหรับประเทศไทยเท่าใดนัก เพราะข่าวรุ่งอรุณของวันนี้ น่าจะเป็นการ ‘ช็อก สังคมการเมืองไทยอย่างมาก หรืออาจต้องเรียกว่าเป็น ‘Diplomatic Shock’ ทางการทูตของไทย เพราะรัฐบาลอเมริกันโดย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศออกมาตรการในการจำกัดและควบคุมวีซ่าของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย
มาตรการเช่นนี้อาจมีนัยถึงการยกระดับให้เป็นการห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เพื่อตอบโต้กับการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับไปจีนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และอาจต้องตามดูต่อว่า จะมีนัยในอนาคตกับการประกาศขึ้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากไทยด้วยหรือไม่ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอเมริกันยังไม่ได้ออกประกาศถึงรายชื่อของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ที่จะถูกมาตรการจำกัดวีซ่าจากกรณีนี้ (ดูรายละเอียดใน Michael Martina and David Brunnstrom, “US hits Thai Officials with visa over deportation of Uyghurs to China,” Reuters, March 15, 2025)
ว่าที่จริงอาการ ‘ช็อกทางการทูต’ เช่นนี้ มีสัญญาณมาตั้งแต่วันพุธที่ 12 มีนาคม เมื่อรัฐสภายุโรป (EU Parliament) ได้ออกมติจากการประชุมสภาด้วยการประณามกรณีอุยกูร์ และยังรวมไปถึงการเรียกร้องในประเด็นเรื่อง 112 และปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในการเมืองไทย (ดูรายละเอียดใน Joint Motion for a Resolution on Democracy and Human Rights in Thailand, notably the lease-majesty law and the deportation of Uyghur refugees, March 12, 2025)
ข้อสังเกต
ปรากฏการณ์จากรัฐสภายุโรปและรัฐบาลสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดข้อสังเกตดังต่อไปนี้
- อาจต้องยอมรับว่า ไทยไม่เคยเผชิญกับมาตรการทางการทูตในแบบเช่นนี้มาก่อน เพราะหากย้อนกลับไปในยุครัฐประหาร รัฐบาลประเทศตะวันตกก็ออกเพียงคำประณาม มากกว่าจะออกมาตรการจริงดังเช่นปัจจุบัน กล่าวคือ ที่ผ่านมาเป็นมาตรการทาง ‘คำพูด’ มากกว่า ‘การกระทำ’
- การออกมาตรการดังกล่าว อาจกลายเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลและผู้คนในสังคมไทยมีความรู้สึกต่อต้านตะวันตกมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ามี ‘กระแสต้านตะวันตก’ อยู่พอสมควร การออกมาตรการและคำประณามจะยิ่งทำให้ความรู้สึก ‘นิยมจีน’ มีมากขึ้นในสังคมไทย
- การกดดันด้วยมาตรการเช่นนี้ จะทำให้เกิดผล ‘สวิง’ ทางความรู้สึกโดยเฉพาะในหมู่ชาวอนุรักษนิยม ด้วยการพาไทยไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น เพราะผู้นำในสังคมอีกส่วนมองว่า จีนไม่เคยกดดันไทยในทางเปิดแบบที่ตะวันตกทำ เช่นตัวอย่างที่ผ่านมา จีนไม่เคยประณามไทยในช่วงรัฐประหาร เป็นต้น
- น่าสนใจว่า การออกมาตรการของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือคำประณามและข้อเรียกร้องของรัฐสภายุโรป เกิดในสภาวะที่การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค ‘อินโด-แปซิฟิก’ กำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้น ที่รัฐบาลตะวันตกควรต้องแสวงหาพันธมิตรในภูมิภาคนี้ มากกว่าจะสร้างความขัดแย้งกับรัฐบาลในพื้นที่
- การออกมาตรการและคำประณามจะถือเป็นสัญญาณทางการเมืองได้หรือไม่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลสหภาพยุโรป ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสำคัญของไทยในทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว อาจจะเพราะมีคู่แข่งอื่นๆ ในภูมิภาคที่อาจจะน่าสนใจกว่าไทย
- น่าสนใจในประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์อีกว่า ถ้าไทยในอนาคตจะเอียงไปหาจีนมากขึ้น ที่ไม่ใช่มาจากเงื่อนไขรัฐประหารเช่นในปี 2014 (รัฐประหาร 2557) แต่มาจากแรงกดดันของฝ่ายตะวันตกเอง รัฐบาลตะวันตกจะคิดอย่างไรผลสืบเนื่องทางยุทธศาสตร์เช่นนี้ หรือตะวันตกทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเลือกที่จะ ‘ทิ้งไทย’ (อยากฟังคำชี้แจงของสถานทูตสหรัฐฯ และผู้แทน EU ในกรณีนี้!)
- วันนี้อาจต้องยอมรับว่า สหรัฐฯ ยุโรป (EU) และไทย ล้วนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ พร้อมกับสภาพแวดล้อมทางการเมืองภายในใหม่ จึงน่าสนใจว่า ปฏิสัมพันธ์ของ 3 ส่วนนี้จะดำเนินไปในทิศทางใด หรือเรา (ในความหมายของประเทศ) กำลังมาถึง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ที่สำคัญของการต่างประเทศไทย
- ผู้คนในสังคมไทยหลายส่วนอาจมีความรู้สึกว่า รัฐบาลอเมริกัน ‘ไม่แฟร์’ กับรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลทรัมป์เนรเทศผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมากออกจากสหรัฐฯ และนโยบายเนรเทศมีความรุนแรงอย่างมากด้วย และมองไม่เห็นความชอบธรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในกรณีนี้ เว้นแต่เป็นการใช้อำนาจของรัฐใหญ่ หรือคนบางส่วนมองว่า ถ้าสหรัฐฯ มีปัญหากับจีนในเรื่องนี้ ก็ควรกดดันจีนโดยตรง ไม่ใช่มากดดันไทย เพราะไทยอยู่ในสถานะของรัฐที่ต้องแบกรับปัญหา และถูกกดดันจากทุกฝ่าย
- ในส่วนของรัฐสภายุโรป คนอีกส่วนในสังคมไทยมีทัศนะว่า กลุ่มการเมืองหรือองค์กรการเมืองบางส่วนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตัวแทนของสหภาพยุโรปในไทย จึงทำให้เกิดมุมมองว่า รัฐสภายุโรปให้น้ำหนักกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากกว่าความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย กล่าวคือ EU สามารถที่จะใช้มาตรการอื่นๆ ในการสะท้อนความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของไทยได้
- ข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปอาจทำให้กลุ่มอนุรักษนิยมในสังคมไทยมองว่า สิ่งนี้เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และอาจมีแรงต้านในสังคมกับการแก้กฎหมายมาตรา 112 มากขึ้น หรืออาจทำให้สายอนุรักษนิยมไทยตีความว่า เป็นการ ‘ยืมมือฝรั่ง’ มาจัดการปัญหาในไทย
- กระทรวงการต่างประเทศไทยอาจต้องแถลงให้ชัดเจนว่า มีความจริงเพียงใดที่ไม่มีประเทศใดต้องการรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ หรือไทยได้รับความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งในปัญหาเช่นนี้ กระทรวงการต่างประเทศอาจต้อง ‘แอ็กทีฟ’ ให้มากขึ้นในการชี้แจง จะทำตัวเป็น ‘รัฐอัมพาต’ ในแบบช่วงตากใบ คือ ‘ไม่พูด-ไม่ชี้แจง’ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะอาการรัฐอัมพาตจะทำให้ประเทศมีปัญหามากขึ้นในเวทีสากล
- อาจต้องยอมรับว่า การส่งตัวดังกล่าวในทางการเมืองระหว่างประเทศนั้น เป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเวทีสากลอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ชัดเจนว่า รัฐบาลไทยได้ใคร่ครวญกับปัญหานี้เพียงใด และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นคำเตือนในตัวเองว่า รัฐบาลจะต้องคิดปัญหาการต่างประเทศและความมั่นคงด้วยความรอบคอบให้มากขึ้นในอนาคต
ท้ายบท
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่า ไทยในบริบทของการต่างประเทศและความมั่นคงนั้น อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ที่ใหม่ทั้งเวทีสากล เวทีในบ้าน ตลอดรวมถึงตัวบุคคลที่ต้องรับผิดชอบงานในงานนี้ ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็คือ ความท้าทายอย่างสำคัญที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรต้องตระหนักและใคร่ครวญ และจะปล่อยให้ปัญหาเช่นนี้ลากประเทศไทยไปเรื่อยไม่ได้ เพราะการเสียสถานะของประเทศในเวทีสากล คือ การทำลาย ‘soft power’ ของประเทศนั่นเอง!
ภาพ: motioncenter via ShutterStock