การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 1/2568 ทำเนียบรัฐบาล เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 เน้นกลุ่มผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ กลุ่มอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน วงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยหลังสถานการณ์โควิดระบาดมีการขยายตัวในระดับประมาณ 2.3-2.5% โดยในปี 2567 ที่ผ่านมามีการขยายตัว 2.5% โดยในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวในระดับ 2.7% โดยมองว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ในช่วงของการฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี พบว่าสัญญาณการบริโภคภายในประเทศของไทยยังคงไม่ค่อยดีนักโดยเฉพาะการบริโภคในกลุ่มสินค้าประเภทรถยนต์, อสังหาริมทรัพย์ และรายการสินค้าต่างๆ ที่มีแนวโน้มสัญญาณชะลอตัว
สะท้อนภาพว่า ภาครัฐบาลควรที่จะมีดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะจุด โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนกลุ่มรากหญ้าต่างๆ ซึ่งมีเหตุปัจจัยเหตุผลที่เพียงพอในการกระตุ้นกลุ่มดังกล่าว
สำหรับรูปแบบในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีมุมมองว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายของภาครัฐบาลกับการดำเนินการโครงการนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท หรือโครงการ Digital Wallet ในรูปแบบการแจกให้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งสอดคล้องมุมมองของกับธนาคารโลก (World Bank) เนื่องจากมีมุมมองว่าการดำเนินการโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่ำ
“เวลาเราลงเงินไป 1 บาท เราจะวัดว่าโครงการนี้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูว่าเงิน 1 บาท ที่ลงไปได้ผลลัพธ์กลับมาสักเท่าไหร่ โดยที่ TDRI เราประมาณการอยู่ที่ 0.6-0.9 เท่า ส่วนของ World Bank อยู่ที่ 0.4 เท่า โดยของ World Bank เข้าใจว่าจะมีการวัดผลแค่หนึ่งปี ซึ่งสะท้อนว่าเงินที่ลงไป 1 บาทสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้กลับมาไม่ถึง 1 บาท แปลว่ารูปแบบแจกเงิน 10,000 บาทนี้ไม่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ดร.นณริฏกล่าว
อย่างไรดี มีมุมมองว่า รัฐบาลควรที่จะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจปรับเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นๆ แทนโครงการ Digital Wallet ที่จะมีประสิทธิภาพมากกว่า
ดร.นณริฏ ระบุต่อ จุดยืนส่วนตัวมองว่าไม่ควรที่จะมีการจ่ายโอนเงินให้ประชาชนแบบส่วนตัว และไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินทั้งในรูปแบบดิจิทัลหรือแบบเงินสดเพราะจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นควรเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอื่นๆ เช่น ใช้เพื่อฝึกอบรมหรือเทรนนิ่ง, อุดหนุนเด็กแรกเกิด, จ่ายเบี้ยเพิ่มเติมให้กับผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้อาจจัดทำโครงการเพื่อผันเงินไปสู่โครงการอื่นที่มีเหมาะสม เช่น โครงการที่คล้ายกับโครงการคนละครึ่งที่จะช่วยสนับสนุนของกลุ่มเอสเอ็ม, โครงการเที่ยวด้วยกันก็จะเข้ามาช่วยภาคการท่องเที่ยว หรืออาจพิจารณาดำเนินโครงการในภาคที่กำลังประสบปัญหาเพื่อผันเงินไปช่วยกระตุ้นแบบเฉพาะเจาะจงซึ่งจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลยังต้องการที่จะดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในเฟสที่ 3 มองว่าควรดำเนินการในรูปแบบที่ง่ายที่สุด เนื่องจากหากมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินโครงการจะส่งผลให้ทางร้านค้าหรือประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการ ต้องมีการลงทะเบียนในระบบเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการให้ลดลงไปอีก เนื่องจากผู้ใช้งานทั้งร้านค้ากับประชาชน อาจจะพบกับอุปสรรคในการใช้งานกระทบต่อประสิทธิภาพของโครงการเพิ่มเติม จากก่อนหน้านี้ที่โครงการแจก 10,000 บาท ที่มีการแจกเป็นเงินสดที่มีประสิทธิภาพต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนวงเงินที่รัฐบาลจะใช้ 1.5 แสนล้านบาท สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เชื่อว่าจะยังมีประสิทธิภาพที่ต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยที่อยู่ในช่วงการฟื้นตัว โดยในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวระดับ 2.5-2.7% ซึ่งอยู่ในระดับศักยภาพของประเทศไทย จึงมองว่าอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดเงินผ่านโครงการนี้ด้วยมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงอาจใช้ในการอัดฉีดลดลงเพียง 1-2 หมื่นล้านบาทก็น่าจะเพียงพอ
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองว่า หากรัฐบาลเลือกใช้นโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ที่ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่ได้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คาดหวังและมีต้นทุนที่สูง จะเป็นปัญหาที่พอกพูนตามมาในภายหลัง
“หากคุณทำอะไรที่มีประสิทธิภาพแล้ว ท้ายที่สุดคุณก็ต้องทำงานหนัก ทำงานเหนื่อย ท้ายที่สุดก็จะเกิดปัญหาตามมาเต็มไปหมด”
ภาพ: Pavel V.Khon / Getty Images