×

“ตอนนี้ผมวิ่งเพื่อคนอื่น” พี่นะ นฤพนธ์ จากคนหนักร้อยกิโลกรัม สู่คนไทยคนแรกที่พิชิต 18 มาราธอนเมเจอร์ส

02.03.2025
  • LOADING...
พี่นะ นฤพนธ์

ภายในงานเลี้ยงของ REV PRESS PLAY 2025 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่เต็มไปด้วยอินฟลูแบรนด์กีฬาและนักวิ่งชื่อดัง มีคนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาและทุกคนต่างก็ยิ้มให้ ยกมือไหว้ พร้อมกับการต้อนรับเป็นอย่างดี 

 

“พี่เขาไม่เปลี่ยนเลยนะ น่ารักตั้งแต่วันแรกอย่างไร ก็ยังเป็นคนน่ารักเหมือนเดิมในทุกวันนี้” ผู้เข้าร่วมงานกล่าวถึงคนคนนั้น 

 

ชายคนนั้นมีชื่อว่า นะ-นฤพนธ์ ประธานทิพย์ ด้วยเรื่องราวของเขาทำให้ทุกคนต่างยกย่องในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง 

 

พี่นะเคยเป็นคนที่น้ำหนัก 100 กว่ากิโลกรัม ช่วงวัย 40 ปีที่เขาประสบอุบัติเหตุที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาลจากปัญหาสะสมที่เขาไม่ดูแลรักษาสุขภาพ ปัจจุบันในวัย 50 กว่า พี่นะผ่านการวิ่งระยะ 10 กิโลเมตร, ฮาล์ฟมาราธอน, ฟูลมาราธอน, 100 กิโลเมตร และ 100 ไมล์ ของ UTMB Mont-Blanc 

 

ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา พี่นะสร้างสถิติเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเหรียญ 6 เมเจอร์สมาราธอนวงที่ 3 ในฐานะคนที่วิ่งครบ 6 เมเจอร์ส 3 รอบ และเป็น 1 ใน 30 คนแรกของโลกที่ทำได้ 

 

THE STANDARD SPORT พอได้ยินเรื่องราวของพี่นะ จึงตัดสินใจนั่งลงขอเวลาพูดคุยกับพี่นะ เพื่อค้นหาถึงเหตุผลและแรงบันดาลใจ จากคนที่หนัก 100 กิโลกรัมในวัย 40 ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นคนวิ่งจบ 100 ไมล์ได้สำเร็จ 

 

พี่นะ แนะนำตัวหน่อยครับ 

 

 

พี่นะ: สวัสดีครับ ผมพี่นะครับ นฤพล ประธานทิพย์ ในวงการวิ่งก็จะเรียกว่า ‘พี่นะ’ เป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติ แล้วปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ ก็คือเป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคความดัน น้ำหนักสูงมาก ประมาณ 103 กิโลกรัม เลยตัดสินใจมาใช้การใช้การวิ่งในการดูแลสุขภาพ

 

ตอนนั้นอายุเท่าไร (ตอนเผชิญน้ำหนัก 103 กิโล)

 

 

พี่นะ: จริงๆ น้ําหนักเริ่มขึ้นตอนอายุประมาณ 35-36 แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าไปหาคุณหมอก็จะได้ยามากิน ไม่ได้รู้สึกว่ากระทบอะไรกับตัวเอง แล้วค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเราสามารถเบิกบริษัทได้ มันเลยทำให้ไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการที่เราจะต้องมาดูแลอะไรมากมาย ถึงเวลาเจ็บป่วยก็หาคุณหมอ กินยาแล้วก็หายดีขึ้น

 

จุดเปลี่ยนของชีวิตก็คือ เราใช้ชีวิตปกติของเรา ตอนนั้นก็เที่ยวกินดื่ม ลูกก็ยังเล็กๆ อยู่ ปรากฏว่ามีวันหนึ่งอยู่ที่บ้านแล้วก็ล้มในห้องน้ำ นั่นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต คืออยู่ดีๆ ก็ล้มเหมือนขอนไม้เลย แล้วก็ฟาดกับชักโครก 

 

 

ตอนนั้นไปรู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ภรรยาเป็นคนพาไป เลือดเต็มหน้า จําได้แม่นเลยครับ วันนั้นนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล คุณหมอทําแผลเสร็จเราจะขอกลับบ้านเลย แต่คุณหมอไม่ให้เพราะว่าต้องทํา CT Scan ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

 

คืนนั้นนอนที่เตียงโรงพยาบาล จําได้เลยครับ บอกว่าขอโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ลุกจากเตียงนี้ไปให้ได้แล้วจะปรับปรุงตัวเอง แก้ไขปัญหาให้ได้ นั่นคือเหตุผลหลักที่ทําให้ออกกําลังกาย ตอนนั้นล้มอายุ 40 ปีครับ

 

เนื่องจากไม่เคยออกกําลังกายอะไรมาเลยในชีวิต ก็พูดง่ายๆ เที่ยวกินดื่ม เรียนหนังสือจบก็ทํางาน ก็ไม่ได้มีทักษะอะไรเลย หลังจากตัดสินใจว่าจะออกกําลังกาย (ก็คิดว่า) จะไปเล่นกีฬาอะไร เราก็เออถ้ามันเดินได้ ก็น่าจะวิ่งได้ จุดเริ่มมาจากตรงนี้เอง คิดแค่นั้นเลย

 

แล้วก็ไม่ได้ลงทุนอะไร ที่บ้านมีเสื้อยืด รองเท้าลําลองธรรมดา จําได้ตอนนั้นใส่รองเท้านันยางธรรมดาเลย Simple มากๆ แล้วก็กางเกงขาสั้น ไม่ใช่กางเกงวอร์มด้วย เป็นกางเกงแบบลําลอง เสื้อยืดตัวหนึ่งแล้วก็ไปวิ่งที่สวนรถไฟ

 

ตอนนั้นแฟนผมทํางานอยู่ตรง ปตท. ก็ต้องไปรับเขา แล้วมีเวลาติดกัน เราก็อาศัยไปวิ่งตรงนั้น เราเข้าไปในนั้นเราก็ตื่นตาตื่นใจเพราะว่าคนไปวิ่งเยอะ เห็นผู้หญิง เห็นเด็ก เห็นผู้สูงอายุ แล้วแบบเฮ้ย…เขาวิ่งกันได้ 1 รอบสบายๆ 2.5 กิโลเมตร แล้วเราอายุ 40 เอง เราเห็นคนอายุ 60 กว่าวิ่ง เราก็เลยเทียบบัญญัติไตรยางศ์มันก็น่าจะวิ่งได้

 

ก็เริ่มเลยครับวิ่งไปเลย ปรากฏว่าได้แค่ 400 เมตรแล้วก็ทรุดลงไปเพราะว่ามันหายใจไม่ทัน รู้เลยว่านี่คือการยืนยันว่าสุขภาพเราไม่ดีเลยนะครับ คือเราไม่เคยออกกําลังกายมา หัวใจไม่เคยเต้นในอัตราการเต้นที่สูง ฉะนั้นมันไปต่อไม่ได้ วันนั้นกลับมาน้ําตาซึม จําได้เลยเพราะว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลแล้วแผลสดมาก ก็กลับไปที่รถแล้วน้ำตาซึม แล้วบอกไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาใหม่ บอกตัวเองพรุ่งนี้มาใหม่

 

วันที่ 2 ก็มา ปกติคนเราไม่เคยออกกําลังกายเลยเวลาออกกําลังกายวันแรกมันจะรู้สึกว่าตึงกล้ามเนื้อ จะปวดจะเจ็บมาก ก็ฝืนตัวเองไป วันที่ 2 ก็หอบเท่าเดิม 400 เมตรก็ไปไม่ไหวต่อ ไปเรื่อยๆ ฮะ วันที่ 3-4 พอสักวันที่ 5-6 มันเริ่มเฮ้ย…มันหายใจที่ 500 เมตร คือแบบว่าหายใจไม่ไหวในที่ไกลขึ้น ก็หมายความว่าร่างกายพัฒนาขึ้น

 

แต่ก่อนเราแค่ 400 เมตรก็ไม่ไหว เราหอบ ตอนนี้ขยายไป 500-600 เมตรแสดงว่าพัฒนาขึ้น เป็นกําลังใจเล็กๆ ที่ทําให้เรามีกําลังใจ แล้วก็ตอนนั้นเองเนื่องจากเป็นความดันกับเบาหวาน ผมซื้อเครื่องวัดความดันแล้วก็เจาะเลือดดูทุกวันเพื่อดูน้ำตาล ค่าดีขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้มันเป็นกําลังใจที่สําคัญเพราะมันเห็นผลชัด กลับไปที่บ้านภรรยาก็ให้กําลังใจตลอด ก็ทําให้เรามีพลัง

 

แต่ก่อนตอนอายุ 40 ปี เมื่อ 14 ปีที่แล้ว Facebook ยังไม่มีคนใช้ขนาดนี้ พูดง่ายๆ เราต้องหากําลังใจให้ตัวเอง หาพลังงานให้ตัวเองจากสิ่งรอบตัว ผมใช้เครื่องมือทางการแพทย์นี่แหละ มันเห็นผลชัด เครื่องชั่งน้ำหนักด้วย เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดน้ําตาล ไปเรื่อยๆ ไปทุกวันๆ จนกระทั่งมาราธอนแรกในชีวิตผมคือการวิ่งจบ 1 รอบสวนรถไฟโดยไม่พัก อันนั้นถือว่าเป็นมาราธอนแรกของผม

 

(นับจากวันที่ประสบอุบัติเหตุไปจนถึงวันที่วิ่งได้ประมาณ 3 เดือน) ผมทําเกือบทุกวัน ตอนนั้นมาราธอนแรกหมายความว่า ผมวิ่งแค่ 2.5 กิโลเมตร มันคือ 1 รอบสวนรถไฟโดยไม่หยุด ผมมองว่ามันคือมาราธอนแรกของผม จริงๆ มาราธอนแรกมันคือ 42.195 กิโลเมตร แต่ในความหมายของผมคือเราอ้วนมากอะ เราวิ่ง 42 ไม่ไหวหรอก รอบหนึ่งของคนอ้วน 2.5 กิโลเมตรก็ดีใจสุดๆ แล้ว 

 

 

มาราธอนแรกของผมคือ 2.5 กิโลเมตร แล้วทนมาก ก็วิ่งไปช้าๆ ไม่หยุดเดินด้วย ค่อยๆ ไป มันไปได้ นั่นก็เป็นพลังงานขึ้นมา แล้วเราก็ทําต่อเนื่องทุกวันเพราะรู้ว่าเรามาถูกทางละ ค่าเบาหวาน ค่าน้ำตาลเราก็เริ่มลงเรื่อยๆ 

 

แล้วเราก็รู้จุด มันต้องคุมอาหารแล้ว ลดแป้ง ลดน้ำตาล ลดพวกไขมัน แต่ก่อนกินอาหารผมกินข้าวมันไก่นะครับ แล้วก็เอาขาหมูราดด้วย เพราะส่วนใหญ่ร้านอยู่ด้วยกัน

 

พฤติกรรมผมแต่ก่อน เอาข้าวมัน เอาไก่ แล้วก็เอาขาหมูอยู่บนข้าวมันแล้วราด แต่ก่อนกินอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ค่อยๆ ปรับตัวคือไม่เอาหนัง เน้นเนื้อล้วน ข้าวน้อย พวกนี้เป็นคําพูดที่ช่วยทําให้ร่างกายเราดีขึ้น ใช้คํานั้นดีกว่าฮะ เล็กๆ น้อยๆ

 

พยายามเก็บจนน้ําหนักเราลงเรื่อยๆ ก็เริ่มตอนนั้น ในสังคมวิ่งตอนนั้นก็เขาก็ชวนไปวิ่งตามงานต่างๆ แล้วก็งานแรกที่ไปเลยเป็นงานวิ่ง 10 กิโลเมตร ก็ไม่อยากไปเพราะว่าจริงๆ เราอยากออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ แต่ว่าเนื่องจากเราวิ่งมาทุกวันมันก็ไปได้ แต่ตอนนั้นกลัวมาก คือกลัวเป็นที่สุดท้าย เพราะเราอ้วนอยู่ สุดท้ายก็ไป

 

ไม่ได้เป็นที่สุดท้าย เข้าเส้นชัยได้ แต่ว่าก็เหนื่อยทั้งตัวเลย แล้วกลับไปบ้านก็บอกภรรยาว่า ไม่เอาแล้ว ก็วิ่งออกกําลังกายธรรมดาดีกว่า วิ่งมันเหนื่อย

 

ตอนนั้นพี่นะ น้ําหนักเหลือเท่าไร

 

พี่นะ: ตอนนั้นน้ําหนักก็ลงมาประมาณ 80 แล้ว ยังตัวใหญ่อยู่ ผมยังจําได้ผมถ่ายรูปหน้าห้องน้ำ แล้วแฟนถ่ายให้กับเหรียญแรกในชีวิต ผมยังเก็บไว้อยู่เลย Finisher ของ 10 กิโลเมตร

 

 

ก็บอกภรรยาวันนั้นว่าไม่เอาแล้ว พอผ่านไป 2-3 วันเราจําโมเมนต์วันเข้าเส้นชัยได้ โอเคไปต่อมันสนุก ไปได้ไปเรื่อยๆ จนขยายไปหลายงาน แล้วก็ไปที่ 21 กิโลเมตร ไป Half Marathon เราก็พัฒนาไปเรื่อยๆ เป็น Full Marathon 

 

เพราะว่าเรารู้วิธีการซ้อม ก็ค่อยๆ เพิ่มซ้อมระยะเรื่อยๆ พอร่างกายไต่เรื่อยๆ มันทําให้เห็นว่าแต่ก่อนเราวิ่งวันหนึ่งอาจจะ 4 กิโลเมตร เราขยับเป็น 10 กิโลเมตร 12 กิโลเมตร เราไปได้แล้วไปเรื่อยๆ

 

ฉะนั้นการที่เราวิ่งทุกวัน วิ่งบ่อยๆ มันพัฒนาเรื่องของกล้ามเนื้อกับระบบหายใจ ถ้าได้ 2 ตัวนี้มันไปได้ทุกระยะ มันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

 

ถ้าต้องบอกใครสักคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบเราในตอนนั้น จุดที่ช่วยผลักเราให้ไปถึงมาราธอนแรก 2.5 กิโลเมตร มันคืออะไร

 

พี่นะ: มันคือวินัย! มันคือความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง กําลังใจรอบข้างสําคัญมากสําหรับ 3-4 ปัจจัยนี้สําคัญมาก 

 

แต่จริงๆ มันต้องเป็นตัวเอง วินัยของตัวเอง คนอื่นมาเข็นเราไม่ได้ ครอบครัวบอกให้เราออกกําลังกาย ถ้าเราไม่อยากออกก็ไม่ออก ต้องรักตัวเอง…

 

คือผมมาบอกกับตัวผมเองว่าต้องแข็งแรง ถ้าผมไม่แข็งแรงครอบครัวก็ไม่แข็งแรง ทำให้เรามีวินัยทําทุกวัน บางวันไม่อยากทําก็ต้องทํา นี่คือจุดเปลี่ยน แล้วก็ความสม่ำเสมอและต่อเนื่องที่ผมได้มา

 

(ซึ่งอันนี้คือ Mindset ที่เราใช้จนไปถึงมาราธอน) จนไปถึง Ultra Marathon 

 

ตอนนี้เราไประยะไหนแล้วบ้าง? 

 

 

พี่นะ: 10, 21, 42, 50, 60, 100 กิโลเมตร แล้วก็ 171 กิโลเมตร คือ 100 ไมล์ UTMB ครับ อันนั้นคือสุดยอดของชีวิต ใช้เวลาไป 46 ชั่วโมง อยู่บนเขาที่ Montblanc วิ่งจากฝรั่งเศสไปอิตาลี ไปสวิตเซอร์แลนด์ กลับมาฝรั่งเศสใช้เวลาไป 46 ชั่วโมง อันนั้นก็สุดของชีวิตแล้วครับ

 

อยากบอกอะไรกับตัวเราในตอนนั้นที่เพิ่งเข้ามาตอนแรก และวิ่งได้ 2.5 กิโลเมตร

 

พี่นะ: อยากบอกขอบคุณวินัยตัวเอง แล้วก็ความหลงใหลในการวิ่ง เนื่องจากว่าผมเปลี่ยนจากเรื่องที่ผมบังคับตัวเองเรื่องวินัยทุกวัน ผมเปลี่ยนเป็นกิจวัตรประจําวัน สําคัญมาก วินัยมันคือการบังคับ ผมเปลี่ยนคําว่าวินัยเป็นกิจวัตรประจําวันได้ กลายเป็นวันไหนผมไม่วิ่ง ผมนอนไม่หลับ มันเหมือนเราไม่ได้อาบน้ําแปรงฟัน

 

 

ผมขอบคุณจุดนี้ ที่ร่างกายมันบอกว่า เฮ้ย…คุณต้องวิ่งนะ วันนี้คุณยังไม่ได้วิ่ง มันทําให้ผมพัฒนาศักยภาพไปได้เรื่อยๆ แล้วไปเรื่อยๆ จนวันที่จบ 171 กิโลเมตรที่ฝรั่งเศส ผมคิดย้อนกลับไปวันนั้นที่เราล้มในห้องน้ําเป็นไปได้อย่างไร แล้วมันมาจากอะไร เราทําได้ขนาดนี้ 

 

เพราะว่ามันยากมากต้องเรียนตรงๆ นะครับ สําหรับระยะขนาดนั้น แล้วอายุผมเองตอนจบก็อายุ 51 ปี ก็ถือว่าประสบความสําเร็จ แล้วก็อยากเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนที่อยากจะดูแลสุขภาพ ณ ตอนนี้โรคเบาหวาน โรคความดันหายหมดเกลี้ยง วิ่งอย่างนี้ทุกวัน เบาหวาน ความดัน เข้ามาไม่ได้

 

ตอนที่ไปจบ UTMB อายุเท่าไร?

 

พี่นะ: อายุ 51 ปีครับ

 

รู้สึกอย่างไรกับสถิติที่เรากําลังจะได้?

 

พี่นะ: สถิติที่จะได้จริงๆ ก็ตัวพอนเดอริง ตัว Six Star World Major จริงๆ มันได้มาจากที่ผมไปวิ่งต่างประเทศ พอดีผมไปวิ่งงานหนึ่งที่ญี่ปุ่น แล้วคนญี่ปุ่นเขาบอกว่าคุณวิ่งอีกนิดหหนึ่งคุณจะได้ควอลิฟายด์บอสตันมาราธอน ผมก็ไม่รู้จักบอสตันคืออะไร เพราะตอนนั้นเพจไทยรัน เพจอะไรไม่มีหรอกครับ สมัยนั้นยังไม่มีข้อมูล ผมก็ไปเสิร์ชกูเกิล มันต้องเก็บ 6 สนามเมเจอร์สแล้วมันจะได้เหรียญพอนเดอริง ตอนนั้นคนไทยยังไม่มีใครได้ มันก็จุดประกายขึ้นมา แล้วตอนนั้นผมวิ่ง 3 ชั่วโมงครึ่ง (3 ชั่วโมง 30 นาที)

 

ถ้าผมจะวิ่งบอสตันผมต้องวิ่ง 3 ชั่วโมง 25 นาที ต้องลดอีก 5 นาที มันเป็นเป้าหมายทําให้ผมต้องซ้อมมากขึ้น แล้วก็รู้วิธีการฝึกซ้อมว่าทําอย่างไรให้ได้เวลา ผมก็ใช้การฝึกซ้อมให้มากขึ้น มีวินัยมากขึ้น จนผมไปได้ควอลิฟายด์ที่บอสตัน

 

ไปวิ่งบอสตันแล้วก็เก็บไปเรื่อยๆ ให้ครบ 6 เหรียญก็ได้หนึ่งชุด ปรากฏว่าในกลุ่มนั้นผมวิ่งบอสตันได้อีก ทำให้ผมได้ 2-3 เหรียญ มันก็ทําให้เราหลงใหล เข้าไปจนกระทั่งได้เหรียญ 2 พอได้เหรียญ 2 เสร็จปรากฏว่าทาง Abbott ซึ่งเป็นเจ้าภาพใหญ่ World Marathon Majors เขาเชิญผมไปชิคาโกมาราธอน เหมือนกับว่าให้เราไปสร้างแรงบันดาลใจ เป็นอะไรที่ดีใจมาก เพราะว่าผมเองคือไม่ค่อยได้รับโอกาสแบบนั้น เขาดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างไปชิคาโก แล้วก็ไปวิ่งที่นั่น แล้วก็ดูแลอย่างดีแบบ VIP

 

มันทําให้เราอยากเก็บเหรียญที่ 3 แล้วก็มีจุดประทับใจจุดหนึ่ง คือตอนนั้นผมวิ่งที่ลอนดอนมาราธอนแล้วเข้าเส้นชัยเสร็จ BBC มารอ แล้วบอกว่าเดี๋ยวเชิญไปอาบน้ำให้เรียบร้อย เดี๋ยวนัดกันที่สวนสาธารณะวันนั้นเลย ผมก็ไปวันนั้นก็ดีใจเขาทําสกู๊ปส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับคนมาดูแลสุขภาพ มันเป็นอะไรที่ดีใจมากกว่า ตอนนี้ผมกลายเป็นวิ่งเพื่อคนอื่น แล้วผมจะต้อง Maintain ตัวเองให้ได้เพราะว่าเราเป็น Role Model แล้ว ไอดอลแล้ว ทําให้ผมมีแรงที่จะไปเรื่อยๆ ทั้งที่จริงๆ ต้องยอมรับว่าแพสชันผมก็เริ่มหมดแล้ว เพราะว่ารายการใหญ่ๆ ในโลกนี้ผมได้เกือบหมดแล้ว ผมว่าหมดแล้วในแง่ของโอลิมปิกสายเทรลก็คือ UTMB

 

โอลิมปิกสายถนนก็คือ Six Star ฉะนั้น 2 สายนี้ผมเก็บหมดแล้ว สิ่งที่ทําให้ผมยังอยู่ต่อเรื่อยๆ คือเป็นแรงบันดาลใจเพื่อคนอื่น

 

สิ่งที่เรากําลังจะได้เป็นสถิติไหน พอนเดอริงตอนนี้รอบที่ 3?

 

พี่นะ: พอนเดอริงตอนนี้รอบที่ 3 รอบแรกก็คือได้ 6 Finish ก็ได้ 1 (พอนเดอริง) รอบนี้เหลือเหรียญสุดท้ายก็คือที่โตเกียววันอาทิตย์นี้ ก็จะได้ 3 เหรียญพอนเดอริง ก็จะได้เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ 3 เหรียญ แล้วก้เป็นหนึ่งใน 30 คนแรกของโลกที่ได้เหรียญชุดนี้ 

 

ก็คงดีใจเพราะว่าจริงๆ วิ่ง 18 เมเจอร์ การวิ่ง 18 มาราธอนมันต้องซ้อมนะครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะไปวิ่งได้ ไม่ใช่ 10 กิโลเมตร แล้วมันทําให้รู้สึกแบบ คนอ้วนคนหนึ่งมีโรคเต็มตัว โรคเกี่ยวกับ NCDs ไม่ดูแลสุขภาพ เขาถือเหรียญพอนเดอริง 3 เหรียญ มันส่งพลังงานดีๆ รอบนี้ผมไปทําเพื่อคนอื่น ผมวิ่งเพื่อคนอื่นจริงๆ คือตัวเองเหรียญเดียวก็พอแล้วในชีวิต

 

ปริญญาการวิ่งของผม UTMB, Six Star เหรียญเดียวพอแล้วครับ แต่อันนี้เราทําเพื่อคนอื่น แพสชันถัดไปจริงๆ ก็คืออยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ตอนนี้เวลามีโรงพยาบาล สถานที่ราชการ หน่วยงานราชการเชิญผมไปพูด ผมจะยินดีมากเลย พูดแล้วให้เขาไปดูแลสุขภาพ 

 

ผมก็จะมีสไลด์รูป Before-After แล้วก็บอกเทคนิคการให้กําลังใจตัวเอง ผมเชื่อว่าบางทีคนฟังผมเป็น 100 คน มีสักคนหนึ่งฟังผมแล้วกลับไปวิ่ง ผมถือว่าผมประสบความสําเร็จแล้ว 

 

 

คำแนะนำ 3 ข้อที่จะบอกให้คนไปออกกำลังกาย

 

พี่นะ: 3 ข้อนะครับ จริงๆ คนที่ไม่เคยออกกําลังกายเลย คือปกติเวลาร่างกายเราอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

 

ข้อแรกพูดง่ายๆ ระบบเผาผลาญมันแย่ลงเรื่อยๆ ฉะนั้นคุณต้องออกกําลังกายเพื่อชดเชยมัน แต่ก่อนเป็นเด็กเรากินข้าวเต็มชามก็ไม่อ้วน แต่เวลาเราเป็นผู้ใหญ่ยังไงก็ต้องดูแลสุขภาพ มาออกกําลังกายนี่เหตุผลหลักเลย ถึงคุณจะน้ำหนักปกติอะไรก็แล้วแต่ ระบบเผาผลาญคุณแย่ลงนะ

 

ข้อที่สองคือ เราทําเพื่อครอบครัว ดูแลคนรอบข้างเรา พ่อแม่เรา ลูกเรา ภรรยาเรา ครอบครัวเรานะครับ ตัวเราต้องแข็งแรงเพื่อจะดูแลคนอื่นได้

 

ข้อที่สาม การออกกําลังกายที่ดี ปกติเวลาที่ร่างกายเราอายุมากขึ้นเรื่อยๆ มันหลีกหนีไม่พ้นกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอยู่แล้ว ท่านออกกําลังกายหรือดูแลร่างกายตัวเองเรื่อยๆ สม่ำเสมอ มันประหยัดค่าใช้จ่ายในการพบคุณหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งมันเป็นค่าใช้จ่ายหลักสําหรับคนที่สูงอายุ ผมเองไม่ได้เจอคุณหมอมานานแล้ว เจอเฉพาะไปตรวจสุขภาพประจําปีเท่านั้น มันทําให้เรามีเงินเยอะขึ้น เราเอาเงินไปใช้อย่างอื่นได้ ไม่ต้องไปให้โรงพยาบาล ทําให้เศรษฐกิจเราดีด้วยนะครับ การออกกําลังกาย อันนี้ได้จากประสบการณ์ตัวเราเองตรงๆ เลย

 

สุดท้ายถ้าวันนี้ไปบอกตัวเองได้ตอนก่อนเกิดเหตุในห้องน้ำ เราจะไปกระตุ้นเขาอย่างไร

 

อยากให้เขามองตัวผม ว่าตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจสุขภาพ อย่าให้ถึงจุดเหมือนผม ผมเชื่อว่าทุกคนถ้าเหมือนผม ต้องวิ่งต้องทําอะไรกับร่างกาย คุณอาจจะไม่ได้วิ่งเลยนะครับ อาจจะไม่โชคดี ผมถือว่าผมโชคดีแล้วเอาร่างกายกลับมาได้ และเป็นตัวอย่างให้กับสังคม

 

อย่าทําเหมือนผม ดูแลสุขภาพ ณ วันนี้ดีกว่าครับ เพื่อตัวเองและครอบครัว ทําให้ดีกว่าผม ทําได้ทุกคนครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising