วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ที่อาคารรัฐสภา ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวแสดงความเห็นภายหลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษา ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ มีความผิดตามมาตรา 157 ให้มีโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีระหว่างฝ่ายโจทก์คือ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และจำเลยคือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง
ศิริกัญญาระบุว่า กรณีนี้ทำให้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลสั่นสะเทือน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้กำกับดูแลกลับถูกฟ้องในฐานที่ถือว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยหน้าที่นั้นก็ต้องมีการถกกันว่าตกลงมีหรือไม่มี และอำนาจเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือเจตนามากกว่า เนื่องจากกระทำไปเพื่อต้องการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า เราจึงอยากเรียกร้องว่าควรจะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อสร้างกลไกคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่กำกับดูแล ไม่ใช่แค่เฉพาะ กสทช. แต่ยังมีหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
“หากเราดูจากการที่ศาลตัดสินในวันนี้ก็อาจจะทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าในอนาคตหากจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่มีระบุในกฎหมายจะถูกบริษัทเอกชนฟ้องร้องหรือไม่ และจะทำให้เขาสามารถปฏิบัติหน้าที่สร้างกลไกตรวจสอบกำกับดูแลได้อย่างเดิมได้หรือไม่” ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า สำหรับกฎหมายที่จะช่วยในเรื่องการคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติหน้าที่ พรรคประชาชนได้ยื่นเข้าสู่สภาเรียบร้อย ขณะนี้อยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการกำลังพิจารณา เพื่อต่อต้านการฟ้องปิดปากเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้ ให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ถูกฟ้องร้องในการปฏิบัติหน้าที่
“เรื่องนี้เข้าข่ายกรณีฟ้องปิดปาก เพราะกระบวนการสามารถร้องเรียนได้หากได้รับการปฏิบัติไม่เป็นธรรมจากผู้ดูแล ซึ่งบริษัทเอกชนก็ใช้กลไกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเป็นช่องทางลัดขั้นตอน และเป็นไปเพื่อให้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ไม่สามารถเข้าร่วมในกลไก กสทช. ต่อจากนี้ และไม่สามารถเข้าไปพิจารณาได้แล้ว”
ศิริกัญญากล่าวว่า จากจำนวนคณะกรรมการ กสทช. เดิมมี 7 คน มีเสียงฝั่งประธานประมาณ 3 คน และเสียงข้างมากในฝ่ายศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง อีก 4 คน แต่ตอนนี้กลายเป็นเหลือ 3 ต่อ 3 คนเท่ากัน ซึ่งอาจทำให้การตัดสินใจต่างๆ มีความหมายมากขึ้น ไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ผ่านมา
ส่วนผลที่ตามมาหลังจากนี้ยังมีสิ่งที่เราต้องติดตามอยู่อีก และกรณีควบรวมทรู-ดีแทค แล้วคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ก็ยังติดตามความคืบหน้าอยู่ และเห็นว่ามีหลายมาตรการและเงื่อนไข เฉพาะภายหลังการอนุญาต หลายเรื่องก็ล่าช้ากว่ากำหนด อย่างการตั้งที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบค่าบริการ
“หากกลไกการกำกับดูแลเกิดชะงักงันขึ้นมา อาจมีหลายคนผวาจากการถูกฟ้อง จะยิ่งทำให้การคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบยิ่งล่าช้าเข้าไปอีก และดิฉันไม่เชื่อว่าเป็นเฉพาะกรณีนี้ แต่กรณีควบรวม AIS-3BB ก็อาจจะซ้ำรอยด้วยเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นเอกชนคนละราย แต่อาจทำให้องค์กรที่กำกับดูแลทำการคุ้มครองผู้บริโภคย่อหย่อนลง”
ส่วนกระแสข่าวมีการยื่นข้อเสนอให้ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ลาออกจาก กสทช. แลกกับการถอนฟ้องในคดีนั้น ศิริกัญญาระบุว่า เท่าที่ได้ยินมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง และผู้ยื่นข้อเสนอต่อรองแลกถอนฟ้องกับการลาออกจาก กสทช. น่าจะเป็นยิ่งกว่า ‘คนใน’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ
“ดูเหมือนจะมีการรู้ล่วงหน้าตั้งแต่วันก่อนวันตัดสินว่าผลตัดสินจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะไม่ควรมีใครล่วงรู้มาก่อน ตอนแรกดิฉันเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ คิดว่าคงต่อรองแค่ให้ไม่สามารถเข้าร่วมการตัดสินใจใน กสทช. ได้เฉยๆ แต่ไม่คิดว่าผลการตัดสินจะเป็นไปตามที่ข่าวลือมา” ศิริกัญญากล่าว
ขณะที่บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองนั้นเราคงทำได้เพียงตรวจสอบคู่ขนานกันไป เพราะเป็นขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และสิ่งที่ต้องเร่งคือเรื่องการทำกฎหมายต่อต้านการฟ้องปิดปากให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการแก้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำกับกิจการ OTT (Over the top) เพื่อควบคุมกำกับดูแลสื่อตามโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วย สำหรับเรื่องคำพิพากษาคงจะต้องมีการสู้ต่อไปในหลายชั้นศาล ทั้งอุทธรณ์และฎีกา ส่วนตัวคิดว่าศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง มีสิทธิ์ในการต่อสู้คดีนี้จนถึงที่สุด
ส่วนคณะกรรมการ กสทช. คนอื่นๆ ควรจะออกมาแสดงท่าทีต่อกรณีดังกล่าวบ้างหรือไม่ ศิริกัญญาระบุว่า เราอยากเห็นความเป็นปึกแผ่นที่จะออกมาส่งเสียงให้กำลังใจกัน
“เพราะของอย่างนี้ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ดิฉันก็กังวลและอยากให้กำลังใจกับ กสทช. ทุกคนว่าอย่าเป็นกังวลมากเกินไป ยืนหยัดทำหน้าที่อยู่บนหลักการที่ถูกต้องดีกว่า” ศิริกัญญาระบุ