หลังจากเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ประกาศในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาจะบังคับใช้นโยบายภาษีนำเข้ากับ 3 ประเทศหลัก นั่นคือเม็กซิโกและแคนาดาที่ 25% (ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงจากแคนาดาที่จะถูกเก็บภาษี 10%) และจีน 10% พร้อมย้ำว่าไม่มีอะไรที่ประเทศกลุ่มนี้จะทำได้ เพื่อชะลอการถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวเพิ่มเติมว่า เขามีแผนที่จะเก็บภาษีก๊าซและน้ำมันเพิ่มเติมในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้
ทรัมป์พูดเกี่ยวกับมาตรการการเก็บภาษีมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยกล่าวว่าจะเริ่มใช้นโยบายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และจะยังคงบังคับใช้ต่อไปจนกว่าประเทศต่างๆ จะแก้ปัญหาและควบคุมการไหลเข้าของ ‘ผู้อพยพ’ กับ ‘เฟนทานิล’ (ยาที่ถูกใช้เพื่อระงับอาการปวดรุนแรง แต่มักถูกใช้เป็นยาเสพติด) ที่ข้ามพรมแดนเข้าสหรัฐฯ ให้เข้มงวดมากขึ้น
ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ณ ห้องทำงาน Oval Office ทรัมป์กล่าวว่าเขาตระหนักดีถึงผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่อาจนำมาสู่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จนต้นทุนเหล่านั้นถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในแง่ราคาสินค้า และยอมรับว่าการเดินหน้านโยบายภาษีรูปแบบนี้อาจทำให้เกิดความปั่นป่วนในระยะสั้น
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ประเมินว่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้กับหลายประเทศ รวมถึงการถูกตอบโต้ที่น่าจะเกิดขึ้นจากประเทศเหล่านั้น อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวว่าตนไม่ได้กังวลเกี่ยวกับปฏิกิริยาของตลาดการเงินต่อแผนการเก็บภาษีครั้งนี้ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้ว่าจะขยายการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีกในบางประเทศ โดยขณะนี้กำลังพิจารณาสินค้าจากยุโรป รวมถึงเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง ยา และเซมิคอนดักเตอร์
“เรามีแผนที่จะเก็บภาษีศุลกากรกับเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง และจะเก็บภาษีกับชิปเซมิคอนดักเตอร์” ทรัมป์กล่าว
ผู้บริหารบริษัทต่างๆ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ออกมาเตือนว่า ภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศจะทำให้ราคานำเข้าสินค้าสูงขึ้น เช่น อะลูมิเนียมและไม้จากแคนาดา รวมถึงผลไม้ ผัก เบียร์ และอิเล็กทรอนิกส์จากเม็กซิโก ตลอดจนยานยนต์จากทั้งสองประเทศ
แม้ว่าทรัมป์จะให้เหตุผลสนับสนุนการใช้นโยบายภาษีเพื่อเก็บรายได้ระดับหลายพันล้านดอลลาร์จากต่างประเทศ แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับมองว่าบริษัทผู้นำเข้าสินค้าต่างหากที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านภาษีเหล่านั้น ซึ่งบีบให้ธุรกิจต้องตัดสินใจระหว่างสองตัวเลือก นั่นคือส่งต่อต้นทุนให้กับผู้บริโภคหรือยอมลดกำไรลง
ด้าน Matthew Holmes หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของหอการค้าแคนาดากล่าวว่า “ภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นการเก็บภาษีชาวอเมริกันก่อน และราคาที่สูงขึ้นจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจ ผู้บริโภค และธุรกิจของทั้งสองประเทศ”
Reuters รายงานว่า นโยบายภาษีของทรัมป์อาจนำไปสู่การตอบโต้ ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนให้กับการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้า โดยเฉพาะกับ 3 ประเทศอย่าง เม็กซิโก แคนาดา และจีน ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งมูลค่าความเสียหายคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
นายกรัฐมนตรีแคนาดา Justin Trudeau กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า แคนาดาจะตอบโต้ด้วยมาตรการที่แข็งกร้าวทันที
ส่วน Claudia Sheinbaum ประธานาธิบดีเม็กซิโกกล่าวว่า เธอจะรออย่างใจเย็นต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้ Sheinbaum ระบุว่า ภาษีของทรัมป์อาจส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียงาน 400,000 ตำแหน่ง และทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ
ในฟากของจีน โฆษกของสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า พวกเขาคัดค้านนโยบายภาษีของทรัมป์ พร้อมเสริมว่า “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษี ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายหรือโลก”
อ้างอิง: