“AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับวิศวกร แต่มันจะเป็นสิ่งที่สร้างนิยามใหม่ให้กับธุรกิจ และเราจำเป็นต้องปรับตัว มิเช่นนั้นก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของ Microsoft
ท่ามกลางแรงกระเพื่อมของการเปลี่ยนแปลงที่เทคโนโลยี AI กำลังสร้างให้กับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม สิ่งหนึ่งที่ World Economic Forum (WEF) มองว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้สำเร็จคือ ‘การยอมรับความเปลี่ยนแปลง’ ที่แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยโอกาสมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนเร็วและเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเทคโนโลยีใหม่ เกมภูมิรัฐศาสตร์แบบใหม่ พฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่การเกิดขึ้นกับเหตุการณ์อันใดอันหนึ่ง แต่เป็นการเดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งผลักดันธุรกิจทุกด้านให้ต้องพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่จุดตั้งต้นของซัพพลายเชน การพัฒนาสินค้าและบริการที่ทันความต้องการของลูกค้า ไปจนถึงแรงงานที่พร้อมสำหรับอนาคต
องค์กรที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต ตามมุมมองของ WEF คือองค์กรประเภทที่ถูกเรียกว่า ‘Perpetually Adaptive Enterprise’ ซึ่งเป็นองค์กรที่คิดกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่รอดพ้นจากความไม่แน่นอนในระยะสั้น
นี่คือ 6 กลยุทธ์ที่ WEF แนะนำ เพื่อให้องค์กรนำไปเป็นแนวทางสำหรับการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน
1. หากลยุทธ์ AI ที่มี ‘มนุษย์’ เป็นศูนย์กลาง
จากการศึกษาของ Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทผู้ให้บริการและคำปรึกษาในรายงาน AI for Business พบว่า 94% ของธุรกิจทั่วโลกนำ GenAI หรือโซลูชัน AI มาใช้ แต่มีเพียง 12% ของกรณีการใช้งานที่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ผลสำรวจย้ำว่าองค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก AI
2. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน Net Zero
รายงานล่าสุดจากกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) แสดงภาพที่ค่อนข้างน่ากังวล เพราะเพียงแค่ 17% ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ดำเนินไปตามแผน ขณะที่ความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น
องค์กรที่ควรปรับใช้เครื่องมือดิจิทัลด้านความยั่งยืนเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) สำหรับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ความโปร่งใสในซัพพลายเชน และการติดตามการปล่อยมลพิษด้วย AI หรือการใช้บล็อกเชนติดตาม Carbon Credit
เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ และสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้น
3. เตรียมซัพพลายเชนธุรกิจให้พร้อมด้วยเทคโนโลยี
ซัพพลายเชนของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจะมีศักยภาพในการตอบสนองได้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากกว่า
การวิเคราะห์ข้อมูลชุดใหญ่ (Big Data Analytics) ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ด้วยความช่วยเหลือจาก AI และ Machine Learning จะสามารถให้อินไซต์เชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานได้ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรคาดการณ์ความเสี่ยงและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีหลักการ
4. ปลดงานซ้ำซ้อนออกจากพนักงานด้วยการปรับใช้ AI
WEF มองว่าในอีก 10 ปี มูลค่าของระบบอัตโนมัติในตลาดโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 5.3 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2033
ธุรกิจที่นำ AI, Machine Learning และระบบโรโบติกส์อัตโนมัติ (RPA) มาใช้ในการทำงานของตน จะสามารถลดงานซ้ำซ้อน ปรับกระบวนการให้เหมาะสม และลดการพึ่งพาของมนุษย์ในการกำกับทุกขั้นตอน
5. ‘ทักษะดิจิทัล’ การเตรียมความพร้อมของแรงงานอนาคต
งานวิจัยของ WEF ชี้ว่า ผู้นำองค์กรเกือบครึ่งเชื่อในผลกระทบของ AI ที่มีแนวโน้มจะมากกว่าหรือเทียบเท่ากับการมาของอินเทอร์เน็ต
ผู้นำองค์กรหลายคนเชื่อว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า พนักงานส่วนใหญ่ของพวกเขาจะใช้ Generative AI ในการทำงานแต่ละวัน
เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้นำธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนาทักษะใหม่ และการยกระดับทักษะของพนักงาน
6. พลิกโฉมธุรกิจด้วยเทคโนโลยีในยุคแห่ง ‘ปัญญา(ประดิษฐ์)’
เทคโนโลยีดิจิทัลในยุคแห่งปัญญา (Intelligent Age) ให้โอกาสมหาศาลกับธุรกิจในการพัฒนาแนวทางการทำงาน โดยธุรกิจควรพิจารณาละทิ้งแนวคิดเดิม และหาประโยชน์จากจุดแข็งในองค์กรตนเอง
เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้าง ทดลอง และปรับปรุงนวัตกรรมได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น WEF พบว่าองค์กรที่นำเทคโนโลยีมาใช้สามารถทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่ง และเติบโตเร็วได้กว่า 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ
การหาทางปรับใช้กลยุทธ์ทั้ง 6 นี้จะหนุนให้องค์กรปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน ในขณะที่เติบโตได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
อ้างอิง: