ปี 2024 นับเป็นปีสำคัญของ ก้อง-สมเกียรติ จันทรา และวงการ MotoGP ของประเทศไทย หลังมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และยังเป็นเรื่องที่น่าจับตามองไปสู่ปี 2025 ที่อาจเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์ของ MotoGP ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลยก็ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเรียงลำดับมาตั้งแต่การขึ้นสู่ MotoGP ของสมเกียรติ ต่อเนื่องไปจนถึงการแซง 9 อันดับ จนมาจบที่อันดับ 4 ใน Buriram Grand Prix
ขณะที่การแข่งขันใน MotoGP เองก็ดุเดือด และมีแชมป์โลกคนใหม่อย่าง ฆอร์เก มาร์ติน ซึ่งล้มแชมป์เก่าอย่าง ฟรานเชสโก บัญญายา คว้าแชมป์ในปีนี้ไปครองได้สำเร็จ
และหากมองต่อเนื่องไปยังปีหน้า คือการที่ Thailand Grand Prix จะได้ย้ายมาเป็นเรซเปิดฤดูกาล ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวน่าสนใจที่จะเกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้จึงนับได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และอาจเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงก็ได้
2024 ฤดูกาลสุดท้ายใน Moto2 ของสมเกียรติ
ผลงานของสมเกียรติในฤดูกาลที่ผ่านมาไม่ได้เรียกว่าเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ไม่ได้นับว่าแย่ เพราะเมื่อผ่านครึ่งทางของฤดูกาล หลังจบสนามที่ 10 รายการ British Grand Prix สมเกียรติมีคะแนนถึง 7 จาก 10 สนามที่ลงแข่งขัน โดยทำอันดับสูงสุดอยู่ที่อันดับ 5
ถ้าเทียบกับครึ่งฤดูกาลในปี 2023 ก็อาจเรียกได้ว่าผลงานของสมเกียรติตกลงไปบ้างเล็กน้อย จนทำให้กระแสสมเกียรติฟีเวอร์ในปีนี้ลดลงไป
แต่หลังจากจบเรซที่ 11 ได้เพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ชื่อของสมเกียรติกลายเป็นข่าวพาดหัวอีกครั้ง เมื่อมีการยืนยันว่าเขาจะได้เลื่อนชั้นขึ้นไปรุ่นสูงสุด MotoGP กับทีม LCR Honda ตั้งแต่ฤดูกาล 2025 เป็นต้นไป
นั่นทำให้สมเกียรติกลายเป็นนักบิดไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงแข่งขัน MotoGP แบบเต็มฤดูกาล
โดยหลังจากนั้นนับได้ว่ากระแสของสมเกียรติกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในหน้าสื่อมวลชน โดยสังเกตได้จากงานแถลงข่าวที่ประเทศไทย มีสื่อมวลชนจำนวนมากให้ความสนใจมาทำข่าวของเขา แม้ในตอนนั้นเขาจะมีอาการบาดเจ็บและไม่สามารถแข่งขันได้ก็ตาม
กระแสการขึ้น MotoGP ในปี 2025 ของสมเกียรติ ทำให้คนอยากดูเขาในสนามมากขึ้น นำมาซึ่งปรากฏการณ์สนามแทบแตกใน Thailand Grand Prix ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
และสมเกียรติก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง หลังปาดหน้าแซง 9 คันรวด เข้าเส้นชัยในอันดับ 4 ในศึก PT Grand Prix of Thailand อย่างสวยงาม
ปรากฏการณ์สนามแตก เงินสะพัด แฟนหลายแสน
Thailand Grand Prix ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กลายเป็นอีเวนต์ระดับปรากฏการณ์ เพราะนอกจากแฟนๆ ชาวไทยส่วนมากจะให้ความสนใจมาร่วมเชียร์สมเกียรติกันแล้ว ยังเป็นช่วงที่ MotoGP เข้าสู่ 3 สนามสุดท้าย และการแข่งขันก็อยู่ในช่วงพีคด้วย
จากการสำรวจโดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาปรากฏว่า Thailand Grand Prix 2024 มียอดผู้ชมตลอดทั้ง 3 วัน จำนวน 205,343 คน ซึ่งทะลุเป้ามากกว่าปีที่แล้วที่มีจำนวน 179,811 คน
ทั้งนี้ Thailand Grand Prix ยังสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดอื่นๆ โดยรอบ สูงที่สุดเท่าที่เคยจัดมา 5 ปี โดยมีมูลค่าตามการประเมินสูงถึงราว 4,759 ล้านบาท และมากกว่าปีก่อนที่ทำได้ราว 4,493 ล้านบาท
โดยไฮไลต์คือการจัดกิจกรรมในรูปแบบเฟสติวัลตลอด 3 วันที่มีการแข่งขัน นั่นคือวันที่ 25-27 ตุลาคม 2024 และมีกิจกรรมและการแสดงมากมาย เช่น มวยไทย วิถีถิ่นไทย โดยมีคู่ชกถึง 7 คู่, คอนเสิร์ตและซุ้มกิจกรรมขายของที่ระลึกภายในงาน รวมไปถึงร้านอาหารชื่อดังมากมายจากจังหวัดบุรีรัมย์
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากคือการใช้รถอีแต๋นในนาม ‘ชัตเทิลแต๋น’ มารับ-ส่งนักท่องเที่ยวและแฟนๆ แบบไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดทั้งงาน
สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นความสำเร็จที่จังหวัดบุรีรัมย์และ Thailand Grand Prix อาจต่อยอด นำไปใช้สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวและแฟนๆ ในปีหน้าได้อีกด้วย
ฤดูกาลสุดมันอีกปีของ MotoGP
แตกต่างจาก F1 ที่รู้ผลการแข่งขันในประเภทบุคคลตั้งแต่ก่อนการแข่งขันถึงสนามสุดท้าย แต่สำหรับ MotoGP นี่เป็นอีกปีที่การแข่งขันต้องลุ้นแชมป์กันถึงเรซสุดท้าย
การขับเคี่ยวกันระหว่างบัญญายากับมาร์ตินเดินทางมาตัดสินกันที่สนามสุดท้ายในศึก Solidarity Grand Prix of Barcelona เรซพิเศษ ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อทดแทนศึก Valencia Grand Prix ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่จนทำการแข่งขันตามปกติไม่ได้
และปลายทางของการแข่งขันสนามนี้ เป็นทางมาร์ตินที่จบอันดับ 3 ในเรซสุดท้ายของฤดูกาลที่สนามเซอร์กิตเดอบาร์เซโลนา-กาตาลุญญา ซึ่งทำให้เขาเก็บเพิ่มเป็น 508 คะแนน คว้าแชมป์โลก โดยเอาชนะคู่ปรับและเพื่อนร่วมรุ่นอย่างบัญญายาไปได้ 10 คะแนน
มาร์ตินกลายเป็นแชมป์โลก MotoGP คนใหม่ทันที และนี่ยังเป็นแชมป์โลกสมัยแรกของเขาอีกด้วย โดยจบโพเดียมมากถึง 16 จาก 20 สนามในปีนี้ และเป็นการจบอันดับ 2 ถึง 10 สนาม แม้ว่าบัญญายาจะคว้าแชมป์ได้ถึง 11 สนาม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์ เพราะเขาล้มมากกว่ามาร์ติน 1 สนาม (มาร์ตินล้ม 2 สนาม บัญญายาล้ม 3 สนาม)
และ 1 สนามที่มาร์ตินล้มน้อยกว่านำมาซึ่งคะแนนช่องว่าง 10 คะแนนที่บัญญายามีน้อยกว่า จนไม่สามารถป้องกันแชมป์โลกไว้ได้
ขณะที่บทสรุปของการแข่งขันประเภททีมและประเภทผู้ผลิตก็จบลงด้วยการคว้าแชมป์ของ Ducati ในทุกประเภท หากรวมมาร์ตินที่คว้าแชมป์โลกในนามทีม Prima Pramac Racing ซึ่งใช้รถของ Ducati ด้วยแล้ว นั่นก็หมายความว่า Ducati กวาดแชมป์ไปได้ในทุกประเภท
นั่นหมายความว่า MotoGP ในยุคสมัยนี้เป็นของ Ducati อย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้เพิ่งมาเป็นด้วย เพราะ Ducati คว้าแชมป์ในประเภททีมผู้ผลิตมาแล้ว 5 สมัยซ้อน ขณะที่ในประเภททีม 4 ปีหลังสุดทีมที่ชนะก็ใช้รถของ Ducati ทั้งหมด
ความเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลหน้า
นอกจากโลโก้ MotoGP 2025 ที่ปรับเปลี่ยนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในปี 2025 ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกมีการปรับเปลี่ยนทั้งทีมและนักขับไม่น้อยเลย
เริ่มจากทีม ทีม Red Bull GASGAS Tech3 KTM จะกลับไปใช่ชื่อทีม Red Bull Tech3 KTM ขณะที่ทีม Prima Pramac Racing จะเปลี่ยนไปใช้รถของ Yamaha หลังจากเซ็นสัญญาร่วมกันนาน 7 ปี และจะปิดตำนานร่วมกับ Ducati ในที่สุด
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นกับทีม Honda เมื่อพวกเขาจะยุติความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ Repsol หลังจากร่วมงานกันมายาวนานถึง 30 ปี ทำให้ในปี 2025 ทีม Repsol Honda จะใช้ชื่อว่า Honda HRC เท่านั้น
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของนักขับเกิดขึ้นมาถึง 10 ราย โดย 2 ดีลใหญ่คือการย้ายทีมของแชมป์โลกอย่างมาร์ติน ที่ย้ายไปร่วมทีม Aprilia Racing แทนที่ อเล็กซ์ เอสปาร์กาโร ที่รีไทร์ ขณะที่ มาร์ค มาร์เกวซ ก็จะย้ายจากทีม Gresini Racing ไปขับร่วมกับบัญญายาที่ Ducati ขณะที่คนที่ขึ้นมาแทนที่มาร์เกวซในทีม Gresini Racing คือ เฟอร์มิน อัลเดเกร์ ที่ขึ้นมาจาก Moto2
ขณะ เอเนีย บาสเตียนินี คู่หูของบัญญายาที่โดนมาร์เกวซมาแทนที่ในทีม Ducati ก็จะย้ายไปขับให้ทีม KTM Tech3 ร่วมกับ มาเวริค บีญาเลส แทนที่ของ เปโดร อคอสตา ที่ย้ายไปขึ้นไปยังทีมโรงงานของ KTM โดยจะขึ้นไปขับร่วมกับ แบรด บินเดอร์
ส่วน แจ็ค มิลเลอร์ ที่ออกจากทีมโรงงานของ KTM ก็จะมาขับให้ทีม Prima Pramac Racing ร่วมกับ มิเกล โอลิเวียรา ที่ออกมาจากทีม Aprilia Racing โดยที่ว่างของเขาก็จะถูกแทนที่ด้วย มาร์โก เบซเซคคี ที่ออกมาจากทีม Enduro VR46 ส่วนที่ว่างของเขาก็จะถูกแทนที่ด้วย ฟรังโก มอร์บิเดลลี
ขณะที่นักขับอีก 2 คนจาก Moto2 ที่จะได้ขึ้นมาสู่ MotoGP ก็จะมีแชมป์โลก Moto2 อย่าง ไอ โอกุระ ที่เซ็นสัญญา 2 ปีกับทีม Trackhouse มาขับร่วมกับ ราอูล เฟร์นานเดซ
และอีกคนคือสมเกียรติที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยสมเกียรติจะมาแทนที่ ทาคาอากิ นาคากามิ ที่ผันตัวไปเป็นนักขับทดสอบ
สนามแรก ThaiGP 2025 ที่กำลังจะมาถึง
อีกหนึ่งความน่าตื่นเต้นที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปี 2025 คือการที่ Thailand Grand Prix จะได้รับการจัดแข่งขันเป็นสนามแรกของปฏิทิน MotoGP 2025 โดยจะจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2025
โดยนอกจากจะจัดการแข่งขันเป็นสนามแรกในปีหน้าแล้ว MotoGP ยังมีแผนที่จะจัดงานเปิดตัวฤดูกาล 2025 ที่กรุงเทพมหานคร โดยจะเป็นการแถลงข่าวเปิดตัวนักแข่ง ทีมแข่ง และรถแข่ง ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ จากนั้นต่อด้วยศึก Pre-Season Test หรือการทดสอบก่อนเปิดสนาม ในวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์
นั่นหมายความว่าแฟนๆ ชาวไทยจะได้สัมผัสกับนักขับ MotoGP และการแข่งขันรายการนี้ยาวนานกว่าปีไหน นอกจากนี้อาจได้เห็นบรรดานักขับมากหน้าหลายตามาออกอีเวนต์ที่กรุงเทพฯ มากขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมาด้วย
แต่ความท้าทายสำคัญนั่นก็คือเจ้าบ้านอย่าง ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต และจังหวัดบุรีรัมย์ ที่จะต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานใหญ่อย่างต่อเนื่อง
เพราะนอกจากศึก Pre-Season Test ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ก่อนหน้านั้นราว 2 สัปดาห์ ในวันที่ 25 มกราคมก็จะมีงาน Buriram Marathon ซึ่งเป็นงานมาราธอนระดับโลกเช่นกัน
ดังนั้นนี่จึงเป็นบททดสอบสำคัญและความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับทั้งจังหวัดบุรีรัมย์และภาครัฐ ที่จะดำเนินการจัดงานยิ่งใหญ่หลายรายการที่มีติดๆ กันนี้ให้ลุล่วงไปได้โดยไม่ทำให้แฟนๆ ทั้งแฟนวิ่ง และ MotoGP ต้องผิดหวัง