×

ทำไมการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าทั่วโลกจึงตอบโจทย์ทรัมป์

27.12.2024
  • LOADING...
why-trump-tariff-wall-global-goods

ตอนนี้มีความเห็นในหมู่นักวิเคราะห์แตกต่างกันเป็น 3 ทาง เกี่ยวกับสงครามการค้ารอบใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ แนวคิดแรกมองว่าเป็นคำขู่เพื่อใช้เจรจา ทรัมป์ต้องการประโยชน์จากประเทศต่างๆ แต่สุดท้ายไม่น่าทำจริง แนวคิดที่ 2 มองว่าทรัมป์จะเน้นซัดจีนแรง แต่คงไม่ซัดคนอื่นหรอก ส่วนแนวคิดที่ 3 เห็นว่าทรัมป์จะซัดจีน และรอบนี้จะซัดคนอื่นเพิ่ม โดยจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าทั่วโลกด้วย

 

ผมมีแนวคิดคล้อยตามความเห็นที่ 3 แถมผมคิดว่าเป้าหมายหลักรอบนี้ของทรัมป์อาจไม่ใช่การซัดจีน แต่จะเป็นการซัดโลกมากกว่า เหตุผลดังต่อไปนี้ครับ

 

เพราะการซัดจีนนั้น ทรัมป์อาจไม่ได้ผลลัพธ์อะไรมาก เพราะจีนน่าจะใช้แนวทางทนเจ็บไม่ยอมเจรจา ตัวเศรษฐกิจจีนเองตั้งแต่สงครามการค้ารอบที่แล้วก็ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปมาก สัดส่วนการส่งออกต่อ GDP ของจีนลดจากเดิมที่เคยสูงเกือบ 26% ลงมาที่ 19.7% (เปรียบเทียบกับไทยที่สัดส่วนการส่งออกต่อ GDP สูงถึง 65.44%) ส่วนการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ก็ลดลงจากเดิมมาก จากที่การส่งออกไปสหรัฐฯ เคยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 20% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน ปัจจุบันลดลงมาที่ 14.8% เท่านั้น

 

เพราะฉะนั้น การขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าจีน ไม่น่าจะบีบให้จีนมานั่งโต๊ะเจรจาได้เหมือนตอนสงครามการค้ารอบที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นจีนเจ็บสาหัสกว่านี้มาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่จีนอาจพยายามให้ประโยชน์สหรัฐฯ ในทางอื่น (เช่น ช่วยเรื่องการเจรจากับรัสเซียหรือเกาหลีเหนือ) และแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ จะไม่ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีน (ซึ่งสหรัฐฯ ก็อาจพิจารณาว่า ถึงขึ้นก็ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อจีนมากเหมือนในอดีต) และทรัมป์เองจริงๆ แล้วก็มีชื่อเสียงในเรื่องการแข็งกร้าวกับจีน ถึงทรัมป์ไม่ซัดจีนแรงก็ไม่มีใครเห็นว่าทรัมป์จะอ่อนต่อจีนได้ ดังนั้น ใครอย่าแปลกใจหากสุดท้ายออกมาทรัมป์อาจไม่ได้ซัดจีนแรงอย่างที่หาเสียง

 

แต่การซัดโลกกลับจะตอบโจทย์ทรัมป์มากกว่า เพราะจะได้ผลตามเป้าหมายนโยบายของเขาหลายข้อ

 

ข้อแรก การซัดโลกจริงๆ แล้วคือการซัดจีนทางอ้อม เพราะตั้งแต่สงครามการค้ารอบที่แล้ว โรงงานจีนย้ายฐานการผลิตออกไปตั้งที่เม็กซิโก เวียดนาม ไทย และประเทศต่างๆ สหรัฐฯ เองก็นำเข้าสินค้าจากจีนลดลง แต่ไปนำเข้าสินค้า (ของผู้ผลิตจีน) จากเวียดนาม เม็กซิโก และไทยมากขึ้น ดังนั้น ถ้าทรัมป์ต้องการให้ผู้ผลิตจีนเจ็บ ต้องตามเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกในรายสินค้าที่เต็มไปด้วยผู้ผลิตจีนในประเทศเหล่านั้น ย่อมจะตรงเป้ามากกว่า (แต่ผู้ผลิตท้องถิ่นเองก็จะโดนลูกหลงด้วย เพราะเขาจะเก็บภาษีเป็นรายสินค้า)

 

ข้อ 2 หากเป้าหมายของทรัมป์คือต้องการบีบให้โรงงานย้ายฐานการผลิตกลับไปสหรัฐฯ การขึ้นกำแพงภาษีสินค้าประเทศจีนอาจไม่ช่วยอะไรมาก เพราะโรงงานจีนอาจไม่มีมากมายเท่าไรที่คิดจะไปลงทุนในสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการที่ต่อไปอาจถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นเครื่องมือกดดันจีนได้ 

 

ดังนั้น เป้าหมายจริงๆ ของทรัมป์น่าจะเป็นโรงงานสหรัฐฯ เอง และโรงงานของพันธมิตรสหรัฐฯ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่แต่เดิมไปผลิตยังประเทศต่างๆ เพื่อให้ได้ต้นทุนราคาถูก เพื่อส่งออกกลับไปขายตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้ออันดับ 1 ทรัมป์น่าจะต้องการส่งสัญญาณชัดเจนบีบให้โรงงานเหล่านี้ย้ายกลับไปตั้งฐานการผลิตที่สหรัฐฯ ซึ่งการบีบที่ดีที่สุดจึงเป็นการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าทั่วโลก เพื่อส่งสัญญาณว่าถ้าคุณอยากขายในตลาดสหรัฐฯ คุณต้องกลับมาผลิตในตลาดสหรัฐฯ จึงจะไม่โดนภาษี

 

ข้อ 3 ทรัมป์มีแนวนโยบายที่จะลดภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจภายในประเทศ และใช้รายได้จากภาษีศุลกากร (ซึ่งทรัมป์มองว่าเก็บจากประเทศคู่ค้าต่างๆ) มาทดแทน การที่ทรัมป์ลดภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจจะทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ยิ่งมากขึ้น ทรัมป์จึงจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้ใหม่ ซึ่งเขามักเล่าถึงยุคของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนแรกของสหรัฐฯ ที่ในตอนนั้นแหล่งภาษีสำคัญของสหรัฐฯ มาจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้า ไม่ใช่ภาษีเงินได้ที่เก็บคนในประเทศ

 

มีรายงานข่าวออกมาว่า ในแพ็กเกจกฎหมาย Tax Cut ที่ทรัมป์กำลังเตรียมการ อาจพยายามใส่หลักการเรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศเป็นการทั่วไปเข้าไปพร้อมกันด้วย (ซึ่งทรัมป์หาเสียงไว้ร้อยละ 10-20 แต่ของจริงอาจเริ่มต้นน้อยกว่านั้นก่อนก็ได้) ดังนั้น ปฏิทินของการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์อาจเริ่มต้นในช่วงการต่ออายุกฎหมายการลดภาษีปี 2017 ซึ่งจะหมดอายุและต้องต่ออายุในปี 2025 และเป็นเรื่องที่ทรัมป์ให้ความสำคัญมาก

 

หลายคนที่มองว่าทรัมป์ไม่น่าจะซัดทั่วโลกจริง มักจะพูดเรื่องประเด็นเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แต่เรื่องเงินเฟ้ออาจสามารถบริหารจัดการได้ด้วยการเลือกขึ้นกำแพงภาษีสินค้าในระดับที่ไม่สูงมากก่อน (เช่น ร้อยละ 5-10) หรือเริ่มต้นจากบางประเภทสินค้าก่อน (เช่น กลุ่มสินค้าหรืออุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยโรงงานจีนในประเทศต่างๆ) แต่สุดท้ายผมคิดว่าทิศทางระยะยาวคือทรัมป์จะค่อยๆ ขึ้นทุกกลุ่มสินค้าและทุกประเทศเป็นการทั่วไป เพราะเป้าหมายหลักของเขาคือการบีบให้โรงงานสหรัฐฯ และพันธมิตรในประเทศต่างๆ ย้ายกลับไปตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ 

 

ส่วนเงินเฟ้อทรัมป์ยังมองว่า การลดภาษีในประเทศ การเอาเงินรายได้จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้ามาอุดหนุนผู้บริโภค และการขุดน้ำมัน ซึ่งจะช่วยลดราคาพลังงาน ทั้งหมดนี้จะช่วยบรรเทาความกดดันของเงินเฟ้อและความลำบากของผู้บริโภคสหรัฐฯ นี่ยังไม่นับว่าโรงงานที่ย้ายกลับไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเป็นโรงงาน Automation ที่ไม่ใช้แรงงานคน และจะประหยัดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ แม้จะสูงกว่าผลิตในเม็กซิโก เวียดนาม หรือไทย แต่ก็อาจไม่ได้สูงกว่ากันมาก

 

มีคำถามต่อมาว่า หากโรงงานที่ย้ายกลับไปสหรัฐฯ เป็นโรงงาน Automation ก็จะไม่ตอบโจทย์ของทรัมป์เรื่องการสร้างงานให้ชนชั้นกลางในสหรัฐฯ ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นคือไม่ตอบโจทย์เรื่องการจ้างงาน แต่ก็ยังคงตอบโจทย์มหกรรมการลงทุนในสหรัฐฯ สร้างตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ รื้อฟื้นฐานอุตสาหกรรมซึ่งสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร ทรัมป์ก็คงเดินสายไปตัดริบบิ้นเปิดโรงงานทั่วสหรัฐฯ และยังตอบโจทย์ที่สหรัฐฯ ทำรายได้จากภาษีนำเข้า ในขณะที่ลดภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจภายในสหรัฐฯ เอง

 

เวลาคิดเรื่องนี้ เราจึงต้องแยกระหว่าง 2 คำถาม คำถามแรกคือหากทรัมป์ซัดทั่วโลกจริง จะได้ผลดีกับสหรัฐฯ จริงไหม กับอีกคำถามคือทรัมป์จะซัดทั่วโลกจริงไหม

 

คำถามแรกอาจถกเถียงกันได้ และต้องรอดูว่าโรงงานจะย้ายกลับไปสหรัฐฯ จริงไหม เงินเฟ้อจะควบคุมได้จริงไหม จะมีการสร้างงานจริงไหม แต่ผมคิดว่าแม้สหรัฐฯ จะไม่ได้ผลดีชนิดประสบความสำเร็จสุดยอด แต่ก็จะไม่ได้เกิดผลเสียหายร้ายแรงแบบหายนะของแพงทั้งแผ่นดินจนทนไม่ได้ ตรงกันข้ามจะเป็นผลว่าทั้งสหรัฐฯ และทุกคนเจ็บตัว แต่สหรัฐฯ เจ็บน้อยที่สุด ขณะที่คนอื่นทั่วโลกจะเจ็บมากกว่า

 

ส่วนคำถามที่ 2 คือเขาจะทำจริงไหม ผมคิดว่าทำแน่และเราหนีไม่รอด ทิศทางของทรัมป์คือซัดทั่วโลกจริง อาจค่อยๆ ทำหรือทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ทิศทางมาทรงนี้แน่ แล้วพวกเราทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมกระสุน พร้อมรับมือหรือยัง?

 

ภาพ: Reuters / Cheney Orr / File Photo

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising