ปี 2024 ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนกว่า 20% หุ้นจีนที่เพิ่มขึ้นเกือบ 30% หรือทองคำที่ราคาทะยานขึ้นถึง 30% นับเป็น ‘ปีทอง’ อย่างแท้จริง ขณะที่ Bitcoin ก็สร้างสถิติใหม่เหนือ 1 แสนดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 140% อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยกลับสวนทาง โดยดัชนี SET ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน (ณ วันที่ 19 ธันวาคม)
คำถามสำคัญที่นักลงทุนหลายคนน่าจะอยากรู้คือ แล้วปี 2025 ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ จะยังดีเหมือนกับปี 2024 ที่ผ่านไปหรือไม่ แล้วเป้าหมายของเงินลงทุนจะอยู่ตรงจุดไหน?
หุ้นสหรัฐฯ จะยังโดดเด่น
จากความเห็นของสถาบันการเงินชั้นนำต่างๆ เชื่อว่าหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 โดยประเมินว่าดัชนี S&P 500 น่าจะปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับ 6,500-7,000 จุด จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 6,000 จุด
ในมุมมองของ BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งดูแลสินทรัพย์มูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ มองว่า หนึ่งในธีมการลงทุนหลักของปีหน้าคือ Staying Pro-Risk หรือการพร้อมรับความเสี่ยง
BlackRock เชื่อว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีศักยภาพเหนือกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกเนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยสำคัญอย่าง AI และการเติบโตของเศรษฐกิจ แม้มูลค่าหุ้นสหรัฐฯ อาจดูสูงเมื่อเทียบกับอดีต แต่ก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาด
นอกจากนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและอินเดียถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระยะยาว ญี่ปุ่นมีการปฏิรูปองค์กรที่ชัดเจนและได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อระดับต่ำ ขณะที่อินเดียมีศักยภาพสูงในการรับมือกับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่วนจีนแม้นโยบายการคลังเริ่มเอื้อต่อเศรษฐกิจแต่ยังคงต้องระวังความเสี่ยงด้านภาษี
ขณะที่ Julius Baer มองว่านวัตกรรมยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะในภาคไอทีของสหรัฐฯ แม้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจะไม่ได้ถูกประเมินค่าต่ำเหมือนในอดีต แต่ความสามารถในการทำกำไรและความแข็งแกร่งของธุรกิจยังคงทำให้บริษัทเหล่านี้เป็นผู้นำในตลาด
แม้จะมีความท้าทายมากขึ้นในอนาคต แต่การลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อาจเร็วเกินไปสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตในระยะยาว
‘ทองคำและ Bitcoin’ ยังเป็นขาขึ้น
แม้ราคาของทองคำและ Bitcoin จะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ รวมทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กระตุ้นให้ประเทศตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรผ่านระบบการเงินแบบรวมศูนย์ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินทรัพย์นอกระบบ เช่น ทองคำและ Bitcion
ทองคำได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในสถานการณ์ที่ความกังวลเรื่องการรักษาเงินต้นมากกว่าผลตอบแทนกลายเป็นประเด็นสำคัญ ในบริบทนี้ ความต้องการสินทรัพย์นอกระบบแบบโครงสร้างเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ JPMorgan คาดการณ์ว่าราคาทองคำมีโอกาสจะขยับขึ้นไปถึง 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,600-2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
AI บูม จะไม่ซ้ำรอยวิกฤตดอทคอม
หนึ่งในเทรนด์การลงทุนที่แข็งแกร่งของปี 2024 คือ AI หุ้นอย่าง NVIDIA ที่เป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลที่สำคัญของ AI ราคาปรับตัวขึ้น 7 เท่าตัว อย่างไรก็ตาม T. Rowe Price เชื่อว่าการปรับตัวขึ้นของ NVIDIA ได้แรงหนุนจากกำไรที่เติบโตได้จริง แทนที่จะปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเพียงอย่างเดียว
หากเทียบอัตราส่วน P/E ของหุ้นอย่าง NVIDIA ยังอยู่ที่ราว 50 เท่า ขณะที่หุ้นอย่าง Cisco ในช่วงฟองสบู่ระหว่างปี 1999 ค่า P/E พุ่งขึ้นไปถึง 125 เท่า
อย่างไรก็ดี นักลงทุนเริ่มหันมามุ่งเน้นการคัดเลือกบริษัทที่ได้รับประโยชน์จริงจากการใช้งาน AI โดย David Kostin หัวหน้ากลยุทธ์หุ้นสหรัฐฯ ของ Goldman Sachs แบ่งการมุ่งเน้นของนักลงทุนต่อ AI ออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ NVIDIA, โครงสร้างพื้นฐาน AI, รายได้ที่มาจาก AI และการเพิ่มผลิตภาพด้วย AI โดยเขาคาดการณ์ว่าปี 2025 จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ไปสู่รายได้ที่มาจาก AI ซึ่งเป็นระยะที่ 3
Kostin ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ในระยะนี้คือบริษัทซอฟต์แวร์และบริการไอทีที่สามารถสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มี AI สนับสนุน เช่น Datadog, MongoDB และ Snowflake ซึ่งช่วยจัดการข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์ รวมถึง Microsoft ที่ได้รับการกล่าวถึงในรายงานล่าสุด
ระยะที่ 4 หากเกิดขึ้นจะเป็นช่วงที่ AI ปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นเดียวกับที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเทอร์เน็ตเคยเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินงานของโลกธุรกิจ
Savita Subramanian หัวหน้ากลยุทธ์หุ้นและกลยุทธ์เชิงปริมาณของ Bank of America มองว่า AI จะเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพ เธอยังคาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 10% ในปีหน้า โดยระบุว่า “AI เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพ แต่ยังมีแนวทางอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นธีมที่เราเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนแล้ว”
แม้จะมีการคาดการณ์อย่างกล้าหาญว่า AI จะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างไร แต่ผลลัพธ์ที่แท้จริงยังคงต้องรอดู อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ระมัดระวัง ผลลัพธ์ในแง่ของการเพิ่มผลิตภาพซึ่งสามารถวัดได้ผ่านรายได้และค่าใช้จ่ายในผลประกอบการรายไตรมาสนั้นยังคงน่าสนใจอย่างยิ่ง
ภาพ: Miha Creative / Shutterstock
อ้างอิง: