วานนี้ (9 ธันวาคม) พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามที่พรรคการเมืองบางพรรคเตรียมนำเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อแก้ไขสาระสำคัญของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 นั้น
กรณีดังกล่าว พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีความเห็นว่าสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่มาตรา 25 เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือผู้บัญชาการเหล่าทัพในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล โดยกล่าวอ้างว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวก
ทั้งนี้ โดยข้อเท็จจริงแล้วผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ ย่อมจะต้องรู้จักศักยภาพและประสิทธิภาพของกำลังพลใต้การบังคับบัญชาดีกว่าฝ่ายการเมือง ซึ่งเข้ามามีอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง และหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกลไกของการเลือกตั้ง
ที่สำคัญภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 2 พระมหากษัตริย์ มาตรา 8 เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย’ และตามมาตรา 27 ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 กำหนดเอาไว้ชัดเจนว่า ‘การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลดำรงตำแหน่งให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง’
เป็นที่ชัดเจนว่าเนื้อหาของมาตรา 27 ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 นั้น สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพพิจารณาการแต่งตั้งและโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ที่ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย โดยไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซง
นอกเหนือจากนั้น ตามมาตรา 11 ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2556 ได้กำหนดเอาไว้ว่ากระทรวงกลาโหมมีส่วนราชการดังต่อไปนี้
- สำนักงานรัฐมนตรี
- สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
- กรมราชองครักษ์
- หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
- กองทัพไทย
ดังนั้นหมายความว่าเจตนาของพรรคการเมืองที่ยกร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อฝ่ายการเมืองเข้ามามีอำนาจเหนือกองทัพนั้น จะมีอำนาจเหนือตาม (3) (4) ซึ่งเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง
พรรคพลังประชารัฐเห็นว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมของพรรคการเมืองนั้น จะเป็นการบั่นทอนให้กองทัพอ่อนแอลง และจะนำกองทัพไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น จึงขอคัดค้านอย่างถึงที่สุด