“ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเราจะมาไกล (14 ปี) แค่เราอยากทำหน้าที่ของเราในทุกๆ วันให้ดีที่สุด”
รินะ อิซึตะ หรือ อิซึรินะ เมมเบอร์และชิไฮนินคนเก่งแห่งวง CGM48 อธิบายความรู้สึกก่อนที่เธอจะแกรด (จบการศึกษา) ออกจากวงหลังวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้
THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับอิซึรินะในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นไอดอล ก่อนปิดฉากเส้นทางนี้ที่เธอยึดถือเอาไว้เป็นเวลากว่า 14 ปี
พร้อมนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาทบทวนความทรงจำและความรู้สึกในช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต ตั้งแต่วันที่เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ที่รักในการเต้นคนหนึ่ง จนนำมาสู่การเป็นตำนานของวงไอดอลแห่ง 48 Group
การเดินทางของเด็กสาวจากไซตามะ
“ชีวิตในวัยเด็กของรินะเป็นแบบไหนเหรอน่ะเหรอ…”
เธอหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าออกมาเสมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“รินะเป็นคนที่ชื่นชอบการเต้นมาก จำได้ว่าเรียนเต้นตั้งแต่ตอนอายุ 11-12 ขวบ โดยมีน้องสาวเข้าไปเรียนก่อน แล้วตัวรินะค่อยตามเข้าไป ตอนนั้นรินะเป็นเด็กชอบทำกิจกรรม ชมรมเต้นคือสิ่งที่โปรดปรานสำหรับรินะมาก
“แต่ในเวลาเดียวกันน้องสาวของรินะเป็นคนที่ทั้งเต้นและเรียนเก่งกว่ารินะมากๆ แต่ติดนิดเดียวตรงที่น้องสาวจะออกแนวเกเร ติดดื้อไปหน่อย (หัวเราะ) ส่วนตัวของรินะคนจะมองเราเป็นคนที่นิสัยดีกว่า เป็นคนเฟรนด์ลีกับทุกคน เป็นเด็กน้อยสดใสสมวัยปกติทั่วไป แต่ยอมรับว่าเคยมีช่วงเวลาที่แอบน้อยใจน้องสาวบ้าง เพราะเรื่องการเต้นเราไม่เคยชนะน้องสาวเลย”
นั่นคือชีวิตในวัยเด็กช่วงมัธยมต้นของรินะ ชีวิตที่ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการเข้าเรียนหนังสือและเรียนเต้นตามประสาเด็กทั่วไป เธอทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนสิ่งที่เธอชอบเริ่มพาเธอไปรู้จักกับโลกใบใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
เพลงจาก AKB48 ที่เต้นครั้งแรกคือ Aitakatta
ช่วงเวลานั้น AKB48 ถือเป็นวงไอดอลที่โด่งดังมากๆ ในญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกๆ ที่เธอได้รู้จักและเริ่มเต้นเพลงของ AKB48
รินะเล่าว่าตอนอยู่ ม.2 เธอได้รับมอบหมายให้ทำกิจกรรมของโรงเรียน นั่นคืองานอำลารุ่นพี่ ม.3 ที่กำลังจะจบการศึกษาจากโรงเรียน ซึ่งเป็นเหมือนธรรมเนียมที่ทำเพื่อขอบคุณรุ่นพี่ที่คอยดูแลกันมา
ระหว่างนั้นเธอและเพื่อนๆ ก็นั่งคิดกันว่าจะทำอะไรให้กับรุ่นพี่ จนเธอไปรู้ข้อมูลสำคัญมา 1 อย่างว่ารุ่นพี่ของเธอชอบวง AKB48 นั่นจึงทำให้เธอกับเพื่อนๆ เลยตกลงกันว่าจะเต้นเพลงของ AKB48 อย่าง Aitakatta เป็นของขวัญอำลารุ่นพี่
“พวกเราก็ไปซ้อมแกะท่าเต้นเพลง Aitakatta จาก YouTube กันมา และงานเต้นครั้งนี้คุณครูก็เลือกรินะให้เป็นเซ็นเตอร์หรือลีดเดอร์ของกิจกรรมนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก เพราะตั้งแต่ตอนเรียนเต้นจากข้างนอกหรืองานโรงเรียน รินะไม่เคยมายืนเซ็นเตอร์อยู่ข้างหน้าเลย เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าน้องสาวเต้นเก่งกว่า ก็จะได้อยู่ข้างหน้าเรามาตลอด
“รินะยังจำความรู้สึกนั้นได้เลย มันเป็นการซ้อมที่สนุกมาก เพลง Aitakatta ก็เป็นเพลงที่เต้นสนุกด้วย และช่วงที่เราซ้อม Aitakatta เพลงอื่นๆ ของวงก็ขึ้นมาให้ฟังอีกหลายเพลง เลยเป็นจุดที่ทำให้เริ่มสนใจ AKB48”
หลังงานแสดงอำลา ตามธรรมเนียมจะมีรุ่นพี่ที่เขียนจดหมายมาติดบอร์ดในโรงเรียนเพื่อขอบคุณกิจกรรมที่รุ่นน้องทำให้ และหนึ่งในจดหมายนั้นมีข้อความที่ทำให้รินะถึงกับยิ้มไม่หุบไปตลอดทั้งวัน คือคำชื่นชมจากรุ่นพี่เกี่ยวกับทักษะการเต้นที่เธอโชว์เพอร์ฟอร์แมนซ์ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ รวมถึงคนอื่นๆ ในโรงเรียนก็เริ่มพูดถึงทักษะการเต้นที่เธอเป็นเซ็นเตอร์ในงานเต้นวันนั้นด้วย
10 นาทีสุดท้ายที่เปลี่ยนชีวิตอิซึรินะไปตลอดกาล
จากงานโรงเรียนวันนั้นทำให้รินะดีใจเป็นอย่างมาก จนต้องหอบความประทับใจไปบอกคุณแม่และเริ่มศึกษาว่าแท้จริงแล้วเจ้าของเพลง Aitakatta อย่าง AKB48 ที่เธอนำมาเต้นคือวงอะไรกันแน่
ปรากฏว่าบนหน้าเว็บไซต์ของ AKB48 ที่เธอและแม่กำลังเปิดอยู่นั้นเป็นช่วงที่วงกำลังเปิดรับสมัครสมาชิกรุ่นที่ 10 และอีกเพียง 10 นาทีก่อนที่เวลาการเปิดรับสมัครออดิชันจะปิดลง
คุณแม่ที่เห็นแบบนั้นก็หันมามองรินะด้วยสายที่มาพร้อมคำถามกลายๆ ว่า รินะสนใจสมัครหรือเปล่า และแน่นอนว่าเธอตอบตกลงสมัครไปในทันที!
“ตอนนั้นรินะสมัครไปแบบที่เราเองก็ไม่เคยออดิชันที่ไหนมาก่อนด้วย และตอนนั้นน่าจะเป็นการสมัครที่ยากมาก เพราะมีคนสมัคร 3-4 หมื่นกว่าคน แต่ด้วยความเป็นเด็กเลยไม่ได้คิดมากขนาดนั้น (หัวเราะ) สุดท้ายก็มีคนติดต่อมาว่าผ่านรอบแรกแล้ว เราก็ต้องไปออดิชันรอบ 2 ต่อหน้ากรรมการ
“จำได้ว่ารอบ 2 กรรมการก็ยิงคำถามปกติทั่วไป แต่ที่น่าแปลกใจคือตอนนั้นมันมีแต่การถาม-ตอบ พูดคุยปกติ ไม่มีคิวให้มาร้องเพลงหรือเต้นเลย ก็มีแอบคิดในใจว่าที่เขาให้ทำแค่นี้หมายความว่าเราจะไม่ติดหรือเปล่า? ตอนนั้นรินะเลยไม่ได้คาดหวังแล้ว ถือว่าได้มาลองดูเฉยๆ”
ทว่าไม่นานหลังจากตอบคำถามรอบ 2 เธอก็มีชื่อติดอยู่ในลิสต์ที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ Final แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสิ่งที่ทำให้เธอดีใจได้ไม่เต็มที่ เมื่อทีมงานให้ข้อมูลการเตรียมตัวสำหรับรอบสุดท้าย เพราะนอกจากเธอจะต้องเต้น (ซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว) เธอก็ยังต้องร้องเพลงด้วย รินะบอกว่ามันยากสำหรับเธอมากในตอนนั้น
“รินะไม่ค่อยมีความมั่นใจในการร้องเพลงเลย เพราะชีวิตหลังเลิกเรียนของเราคือเรียนเสร็จกลับบ้านเลย ไม่ได้รวมตัวกับเพื่อนไปร้องเพลงคาราโอเกะเหมือนคนอื่นๆ เต็มที่คือเปิดเพลงจากโทรศัพท์แล้วร้องตามเท่านั้นเลย
“จากนั้นเราพยายามฝึกร้องเพลงนะ เราหาเพลงของ AKB48 เพื่อจะมาฝึกร้อง ซึ่งเพลงที่เราฟังแล้วชอบมากที่สุดคือ Iiwake Maybe เลยตัดสินใจเลือกเพลงนี้มาออดิชันรอบสุดท้าย ส่วนการเต้นรินะเลือกเป็น Oogoe Diamond
“แต่ในความน่าตื่นเต้นนั้น สำหรับรินะถือว่ามีความโชคดีอยู่ไม่น้อย เพราะการเต้นออดิชันรอบนั้นถือเป็นประตูบานแรกของรอบ Final หรือพูดง่ายๆ ถ้าใครไม่ผ่านการเต้นจะมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้าสู่รอบโชว์พลังเสียงร้องเพลงต่อไป
“นับเป็นโชคดีของรินะมากที่เขาให้เต้นก่อน (หัวเราะ) เพราะถ้าร้องเพลงก่อนอาจไม่ได้เข้ารอบแน่ๆ แต่รินะก็รวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปร้องเพลงแบบเน้นให้สนุกไปกับเพลงให้มากที่สุด แล้ววันนั้นโปรดิวเซอร์อากิโมโตะซังที่อยู่ในห้องออดิชันก็ถามว่าทำไมถึงเลือกเพลงนี้ รินะก็ตอบตรงว่าๆ เพราะเป็นที่เพลงความหมายดีและไพเราะด้วย”
ผลสุดท้ายในวันเดียวกันของการออดิชันรอบ Final รินะมีชื่อติดอยู่ในกลุ่มประมาณ 20 คนที่ผ่านออดิชันเพื่อเข้าไปเป็นแคนดิเดตรุ่น 10 (แต่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของ AKB48 อย่างเป็นทางการ)
“หลังผ่านเข้ามาเป็นแคนดิเดต ทางวงก็มีงานของรุ่นพี่ให้เราได้ลองขึ้นไปเป็นแดนเซอร์ให้รุ่นพี่ในเธียเตอร์ ก่อนจะมีการสอบภายในอีกครั้ง แล้วก็เหลือประมาณ 10 คนที่ได้มาเป็น AKB48 รุ่น 10”
ภาพ: Izurina CGM48 / Facebook
เด็กคนนี้คือใคร? การปรากฏตัวครั้งแรกของรินะต่อหน้าแฟนคลับ
ถึงตอนนี้การออดิชันจะเป็นเพียงสงครามด่านแรกของรินะที่เวลานั้นมีอายุได้เพียง 13 ปี
เพราะหลังจากสมาชิก AKB48 รุ่น 10 ตบเท้าเข้าสู่วงแบบไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ นั่นทำให้เหล่ารุ่น 10 ยังไม่มีพื้นที่ได้แนะนำตัวกับแฟนๆ หากแต่มีเพียงช่องทางเดียวคือการได้ขึ้นสเตจเธียเตอร์ไปเต้นต่อหน้าแฟนเพลง และถือโอกาสแนะนำชื่อให้แฟนๆ ได้รู้จักกัน
“ของรินะ (รุ่น 10) ไม่มีงานเปิดตัวด้วย ไม่มีโอกาสแนะนำตัวกับแฟนๆ พร้อมกันอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนจะมีสถานะเป็น Trainee (เด็กฝึกหรือเคงคิวเซ) ที่ต้องคอยฝึกร้องเพลงและท่าเต้นเพลงของสเตจ เรียกว่าถ้าใครพร้อมก็ขึ้นไปแสดงบนเธียเตอร์เลย”
เวลานั้นรินะและเพื่อนๆ ยังคงมุ่งมั่นฝึกซ้อมที่เบื้องหลังเวทีอย่างหนักหน่วง จนโอกาสวิ่งเข้าเธอแบบที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะทักษะการเต้นที่ดี เธอถูกชื่นชมเสมอว่าเป็นเมมเบอร์ที่จดจำท่าเต้นของวงได้เก่งสุดๆ จนเธอถูกยกให้เป็น Ace ประจำรุ่น 10
“รินะได้รับเลือกให้ขึ้นเวทีเปิดตัวต่อหน้าแฟนๆ ที่เธียเตอร์แทนรุ่นพี่คนหนึ่งที่ติดภารกิจขึ้นทีมไม่ได้ และสุดท้ายเป็นรินะที่กลายเป็นคนแรกของรุ่นที่ได้ขึ้นสเตจวันนั้น แถมยังได้เป็นเซ็นเตอร์อีกด้วย
“สเตจนั้นรินะขึ้นไปเต้นและร้องเพลงแบบที่แฟนๆ ก็ยังไม่รู้ว่าเราคือใคร บางคนอาจจะคุ้นหน้าเราจากตอนเป็นแคนดิเดต แต่ก็ไม่มีใครทราบชื่อเรา จนได้แนะนำตัวกับทุกคนในสเตจวันนั้น แล้วก็เป็นจุดเริ่มที่ทำให้รินะมีแฟนคลับและเริ่มถูกจับตามองในฐานะสมาชิกคนใหม่ของ AKB48”
ชีวิตใน AKB48 ที่ไม่ง่าย แต่คำว่า ‘ยอมแพ้’ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของรินะ
หลังเข้ามาเป็นสมาชิกวงในช่วงแรกๆ รินะเล่าให้ฟังว่าตัวเธอเองก็เป็นเหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆ ที่ต้องออกเดินทางตามหาตัวตนของตัวเองทันทีที่ชีวิตในวงการไอดอลเริ่มต้นขึ้น
ไม่เท่านั้น ความจริงที่โหดร้ายของระบบ ‘เซ็มบัตสึ’ จากวงไอดอล 48 Group เริ่มสร้างบทเรียนและรอยน้ำตาให้กับตัวของรินะ เพราะในวันที่เธอได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเก่งของรุ่น 10 แต่เธอกลับไม่เคยไปถึงการติดเซ็มเพลงหลักของวงเลยสักครั้ง เมื่อเงื่อนไข ‘ความนิยม’ เข้ามาเป็นตัวแปรด้วย
“การเป็นศิลปินไอดอลของ AKB48 ทุกคนจะอยู่ภายใต้ระบบ ‘เซ็มบัตสึ’ และตัวรินะไม่เคยติดสักครั้งเลยค่ะ รินะคือคนที่อยู่ระดับกลางๆ ไม่ได้เป็นคนที่มีความนิยมเยอะสักเท่าไร เคยติดแค่เพลงรอง เป็นเซ็นเตอร์เพลง Reborn ครั้งเดียว ส่วนการติดทีมสเตจรินะก็ใช้เวลานานกว่าเพื่อนคนอื่นด้วย บางคนเป็น Trainee 1 ปีก็ได้ติดทีม แต่รินะก็ใช้เวลา 2 ปีเพื่อขึ้นไปติดทีมหลัก
“ตอนนั้นรินะเป็นคนร้องไห้ง่ายมาก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางมันเคยทำให้เรารู้สึกผิดหวังบ้าง แต่รินะไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งที่ทำเลยนะ เพราะการเข้ามาอยู่ในวงนี้มันคือสิ่งที่เราชอบ อยากลงมือทำไปเรื่อยๆ แถมบางครั้งที่เราได้สเตจแทนรุ่นพี่ เราก็ได้รับคำชื่นชมกลับมาเสมอ
“เรื่องการยอมแพ้จึงไม่เคยอยู่ในหัวของรินะ และไม่เคยมีวันไหนที่คิดอยากออกจากตรงนี้เลย”
“รินะคิดเสมอว่าต่อให้เราไปไม่ถึงเซ็มบัตสี แต่เราก็ยังมีพื้นที่ส่วนอื่นๆ ในวงเป็นของเราเองที่สามารถมอบความสุขและรอยยิ้มให้แฟนๆ ได้ไม่น้อยกว่าตำแหน่งไหนในวง
“รินะเลยไม่ยึดติดว่าต้องติดเซ็มและไปให้ถึงเซ็นเตอร์ขนาดนั้น ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา เราก็แค่ต้องสู้ต่อไปและทำให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป”
‘ทำหน้าที่ของตัวเอง-โฟกัสกับคนที่รักเรา’ เป้าหมายเดียวในชีวิตไอดอลของรินะ
เมื่อคุยกันมาถึงตรงนี้ เราจึงถามย้ำแบบตรงๆ ว่าตอนเข้าวงมาไม่มีเป้าหมายใหญ่ อย่างการก้าวขึ้นไปเป็นเซ็นเตอร์หรือยืนในตำแหน่งแถวหน้าของวงเลยเหรอ
“รินะไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เต็มที่คืออยากได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้เราได้ทำงานกับวงเยอะๆ มากกว่า ถึงแม้ว่าตอนเราไปออกงานแล้วมีแฟนคลับ 1 จาก 100 คนมาหา หรือมีรินะเป็นโอชิ รินะก็อยากจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำให้แฟนๆ มีความสุข
“แต่ถ้ามีคนมาแอนตี้เรา เขาแสดงออกว่าไม่ชอบเรา แล้วถ้าเรามัวแต่ไปโฟกัสกับคนที่ไม่ชอบเรา ฝั่งคนที่เขารักและซัพพอร์ตเราเขาจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้นในช่วงชีวิตการเป็นไอดอลทำให้รินะอยากใช้เวลาไปกับแฟนๆ ที่รักเราดีกว่า”
นับแต่นั้นรินะเริ่มมีนิยามชีวิตในวงสั้นๆ ว่า ‘เริ่มอยู่ตัว’ บวกกับชีวิตไอดอลที่ทำให้เธอเข้าใจโลกแห่งความจริง เลือกใช้เวลาไปกับสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขอย่างการออกรายการวาไรตี้ AKBINGO! รายการที่ทำให้เธอปรากฏตัวทางจอทีวีแทบทุกสัปดาห์ จนกำเนิดสมญานาม ‘เจ้าแม่วาไรตี้’ เป็นจุดที่เริ่มมีคนจำหน้าได้และรู้จักมากขึ้น
“การทำหน้าที่ในรายการทำให้รินะรู้สึกสบาย รู้สึกสนุกดี เป็นช่วงที่ชอบการใช้ชีวิตแบบไอดอลและควบคู่กับการเอ็นเตอร์เทนในรายการวาไรตี้ ทำให้ผู้คนหัวเราะและมีความสุข รินะเองก็ชอบมากๆ บางทีรินะก็เคยคิดนะว่าถ้าอยู่กับ AKB48 แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะดีเหมือนกันนะ เพราะส่วนตัวชอบที่มาทำงานตรงนี้ด้วย”
ภาพ: JAPAN EXPO THAILAND
สวัสดีประเทศไทย ฉันชื่อ รินะ อิซึตะ ค่ะ
ชีวิตของรินะในการเป็นไอดอลของ AKB48 ไม่มีอะไรมากไปกว่าการติดเซ็มบัตสึเพลงรอง ขึ้นสเตจ ออกรายการวาไรตี้ และฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่นแบบที่เคยทำมา
จนโอกาสใหญ่ครึ่งหนึ่งในชีวิตมาหารินะอีกครั้ง รอบนี้เธอได้มาออกอีเวนต์ในประเทศไทยอย่าง JAPAN EXPO THAILAND 2016 งานที่จะทำให้เธอได้ออกไปโชว์ศักยภาพต่างแดนเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ตอนนั้นก็มีแอบคิดนะว่าผู้ใหญ่เขาเลือกเรามาทำไม (หัวเราะ) แทนที่จะเป็นเมมเบอร์ระดับท็อปคนอื่น เพราะคิดว่าถ้ามาเมืองไทยคงไม่มีใครรู้จักรินะแน่ๆ
“แต่พอมาถึงวันโชว์เราเห็นแฟนๆ ชูป้ายชื่อเราเชียร์อยู่ข้างล่างเวที ก็รู้สึกสับสนว่าทำไมเขารู้จักเราด้วยนะ? แถมยังร้องเพลง 365nichi no Kamihikouki, Koisuru Fortune Cookie ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย เลยทำให้งานแรกของเราในเมืองไทยมันสนุก เอ็นจอย และประทับใจแฟนคลับที่ไทยมากๆ”
ภาพ: Izurina CGM48 / Facebook
เพราะประทับใจเมืองไทย จึงตัดสินใจอำลา AKB48 เพื่อออกเดินทางครั้งใหม่กับ BNK48
ความประทับใจครั้งนั้นมันฝังอยู่ในความรู้สึกของรินะอย่างยาวนาน เรียกว่าตัวอยู่ญี่ปุ่น แต่ใจอยู่เมืองไทยแล้ว
และตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอทราบข่าวการตั้งวง BNK48 เป็นวงน้องสาวที่เมืองไทย พร้อมไฮไลต์สำคัญอย่างการนำเมมเบอร์จาก AKB48 ไปอยู่กับวงที่เมืองไทยด้วย
“ตอนนั้นผู้ใหญ่ในวงมีการคุยกับเมมเบอร์รุ่นพี่คนอื่นๆ เกี่ยวกับการย้ายมาอยู่กับวง BNK48 ที่เมืองไทย ซึ่งตอนแรกไม่มีชื่อรินะในลิสต์เลย ทั้งที่เราเริ่มเกิดความรู้สึกสนใจงานนี้ (หัวเราะ)
“จนวันที่มีการประกาศทางการว่า BNK48 จะถือกำเนิดในเมืองไทย บวกกับตอนนั้นยังไม่มีรุ่นพี่ตอบรับมาทำงานที่เมืองไทย แต่ตัวรินะเวลานั้นคือตื่นเต้นสุดๆ ในหัวคิดถึงแต่ภาพตอนที่เรามาขึ้นแสดงที่ไทย เราอยากทำให้คนไทยรู้จัก AKB48 มากขึ้น และคิดถึงแฟนคลับคนไทยด้วย อยากพบกับทุกคนอีกครั้ง เลยไปคุยปรึกษากับทีมงานที่ดูแลงานวงต่างประเทศถึงความเป็นไปได้ที่รินะจะมาทำงานในเมืองไทย”
เวลานั้นเลยกลายเป็นช่วงที่ทำให้เธอคิดหนักอย่างมาก เสมือนทางแยกของชีวิต ระหว่าง ‘ญี่ปุ่น’ กับ ‘เมืองไทย’ มาจ่ออยู่เบื้องหน้าของเธอ
ใจหนึ่งเธอก็รู้สึกโอเคกับสถานะที่เป็นอยู่ในวง AKB48 ทุกอย่างมันกำลังดีสำหรับเธอแล้วในตอนนั้น แล้วก็ไม่มีความคิดที่จะแกรดด้วย แต่อีกใจหนึ่งเธอก็มองว่ามันคือ ‘Now or Never’ แค่เธอจินตนาการภาพว่าจะได้มาทำงานในเมืองไทย ก็แทบจะทำให้เธอใจเต้นจนนอนไม่หลับเลย
แม้ใช้เวลาอยู่นาน แต่ในที่สุดรินะก็ตอบตกลงเข้าร่วมเป็นสมาชิก BNK48
“ตอนมางาน JAPAN EXPO THAILAND 2017 ซึ่งเป็นรอบ 2 ของรินะในการมาเมืองไทย ตอนนั้นรินะรู้ตัวแล้วว่าเราจะมาอยู่ BNK48 เพียงแต่ยังไม่ได้ประกาศออกมา พี่ๆ ในวง AKB48 ที่มาวันนั้นก็ไม่มีใครรู้ด้วย แล้วเป็นวันที่มีการเปิดตัว BNK48 รุ่น 1 พอดี
“ช่วงนั้นรินะก็เรียนภาษาไทยมาเล็กน้อย เอามาพูดกับแฟนคลับด้วย และวันนั้นรินะทิ้งคำใบ้กับทุกคนหลังจบโชว์ว่า ‘แล้วเจอกันใหม่นะ’ ฝั่งเมมเบอร์ BNK48 บางคนก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเราถึงใช้คำว่าแล้วเจอกันใหม่ เหมือนจะได้เจอกันอีก ซึ่งเราจงใจสปอยล์ไว้ก่อน (หัวเราะ)”
เมื่อเราถามรินะว่าอะไรคือสิ่งที่เธอประทับใจในเมืองไทย เธอบอกว่าเธอชอบอาหารของเมืองไทยที่มีรสชาติอร่อย ชีวิตในกรุงเทพฯ ก็สนุกดี บรรยากาศคอนเสิร์ตก็สนุก
และสำคัญคือเธอชอบที่ได้เห็นแฟนๆ เอ็นจอยไปกับโชว์ รวมถึงรอยยิ้มและเสียงเชียร์ที่แฟนคลับชาวไทยมอบให้ มันทำให้รู้สึกอบอุ่นและมีคุณค่ากับตัวเธอเองด้วย ทำให้ทุกครั้งที่บินกลับญี่ปุ่นไป เธอก็อยากกลับมาที่ไทยอีกรอบเสมอ นั่นจึงทำให้รินะตัดสินใจลองก้าวออกมาทำสิ่งที่ใจต้องการ อย่างเช่น การเข้ามาเป็นสมาชิก BNK48
วันที่ 13 เมษายน 2017 ในงาน KOJIMA FINAL COUNTDOWN 2nd Kojima Haruna「KOUKANDO BAKUAGE」รินะประกาศอำลา AKB48 ที่อยู่มานานกว่า 7 ปี เพื่อย้ายออกมาอยู่กับวง BNK48 ที่ประเทศไทย ก่อนมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
การมาของรินะและปรากฏการณ์ ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ จุดประกายให้ BNK48 ดังเป็นพลุแตก
เดิมทีรินะประกาศเข้ามาอยู่ BNK48 ตอนช่วงซิงเกิลแรก Aitakatta (อยากจะได้พบเธอ) แต่ตอนนั้นด้วยภาระงานบางอย่างที่ทำอยู่กับ AKB48 ยังไม่เสร็จ ส่งผลให้รินะจะได้เข้ามาทำงานกับวงใหม่แบบเต็มตัวคือเพลง Koisuru Fortune Cookie (คุกกี้เสี่ยงทาย) ที่เธอได้ติดเซ็มบัตสึของ BNK48 ด้วย
“ตอนที่มาเป็น BNK48 วงก็มีเพลง Aitakatta (อยากจะได้พบเธอ) แล้วเป็นช่วงที่เราเคลียร์ตัวเองเพื่อมาทำงานเมืองไทย แล้วก็ได้ร่วมติดเซ็มบัตสึ Koisuru Fortune Cookie (คุกกี้เสี่ยงทาย) เพลงที่ก่อนหน้านั้นดังมากในญี่ปุ่น แต่ส่วนตัวยังไม่รู้ว่าคนไทยนิยมฟังเพลงแนวไหนกัน เลยพยายามเดินหน้าทำงานให้เต็มที่สมกับโอกาสเราได้รับมา”
หลังจากเพลง Koisuru Fortune Cookie (คุกกี้เสี่ยงทาย) เปิดตัวสู่คลื่นเพลงของเมืองไทยไม่นาน เพลงนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ศิลปินและประชาชนทั่วประเทศต่างพากันเต้นท่า ‘โอนิกิริ’ ความสนใจของผู้คนที่มีต่อ BNK48 เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ งานจับมือที่คนมาต่อแถวกันแบบยาวเหยียด สมาชิกได้ออกอีเวนต์กันแบบฉ่ำๆ เช่นเดียวกับตัวของรินะ ในฐานะเมมเบอร์จากญี่ปุ่นขนานแท้ ก็ได้รับความสนใจการเป็น BNK48 ด้วยเช่นกัน
“ตอนเพลงคุกกี้ดังขึ้นมาเรื่อยๆ รินะตกใจและดีใจมาก (หัวเราะ) เพราะไม่คิดว่าจะดังได้ขนาดนั้น เป็นช่วงแรกของชีวิตที่รินะได้ทำงานต่างประเทศ แล้วก็วุ่นวายมากๆ เวลาไปออกรายการต่างๆ ก็จะมีคนแบบ ‘โหหห มีคนญี่ปุ่นในวงด้วยเหรอ’
“แต่รินะก็แอบเกรงใจด้วยที่มีคนให้ความสนใจเยอะ แต่เรากลับพูดภาษาไทยไม่ได้เลย ตอนนั้นมีเพื่อนๆ และน้องๆ ในวงช่วยกันเยอะมาก เราเองก็มีเรียนของเราด้วย พอนึกย้อนไปแบบนี้ก็อดที่จะขอบคุณ BNK48 รุ่น 1 ไม่ได้เลย ทุกคนช่วยรินะเยอะมาก”
ภาพ: BNK48 / Facebook
จาก BNK48 สู่ CGM48 บทบาทใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม
ชีวิตภายใต้นามสกุล BNK48 ของรินะดำเนินไปด้วยสีสันของความสนุก เธอได้เรียนรู้การใช้ชีวิตภายใต้วัฒนธรรมที่แตกต่างจากญี่ปุ่น อาหารการกิน รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คน ไปจนถึงการเรียนภาษาไทยที่น่าจะยากกว่าสิ่งไหนที่เคยทำมา
เวลาล่วงเลยไปเกือบ 2 ปี BNK48 ที่ดังสุดๆ เริ่มมีทายาทรุ่น 2 เข้ามาสู่ทีม ส่วนตัวรินะดูเหมือนมีเรื่องที่ต้องคิดหนักอีกครั้ง เพราะเธอกำลังได้รับภารกิจใหม่ในการเป็นชิไฮนิน (ผู้จัดการ) ให้วงน้องสาวของ BNK48 อย่าง CGM48
“ตอนที่ BNK48 ดังขึ้น รินะก็ได้ยินว่าจะมีการขยายฐานไปทำวงต่างจังหวัดด้วย แล้วเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่รินะไม่ค่อยได้ไป เต็มที่คืองาน Roadshow เล็กน้อย
“ตอนนั้นคิดอยู่ว่าฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับ CGM48 เลย (หัวเราะ) ไม่มีความคิดจะไปเลยในตอนแรก ฉันจะอยู่แค่ BNK48 นี่แหละ เพราะบางครั้งรินะก็เคยคิดว่า BNK48 จะเป็นวงสุดท้ายในชีวิตไอดอลของรินะด้วยซ้ำ”
รินะยืนยันว่าการสร้างวง CGM48 คือความท้าทายครั้งใหญ่ในชีวิต ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องชวนกังวล เพราะเธอกลัวว่าหากทำมันออกมาไม่ดี จะกลายเป็นการทำให้ทุกคนผิดหวังหรือเปล่า
“สิ่งที่ทำให้รินะตกใจไปอีกขั้นคือการได้รับบทบาทชิไฮนินของ CGM48 ด้วย มันตื่นเต้นมากๆ แต่ยังกังวลเรื่องภาษาไทยด้วย คือลำพังภาษาไทยปกติก็ยากแล้ว เจอภาษาเหนือเข้าไปอีก ยากกว่าเดิมเลย (หัวเราะ)”
อย่างไรก็ตาม การไปอยู่กับ CGM48 ครั้งนี้ วงตั้งเป้าหมายให้เธอไปเป็นชิไฮนินแบบเต็มตัว ไม่ใช่ในฐานะของเมมเบอร์ ประเด็นนี้ท้าทายใจคนอย่างรินะมาก เพราะเธอบอกกับผู้ใหญ่ไปตามตรงว่าเธอยังต้องการเป็นเมมเบอร์ต่อไป เช่นเดียวกับตำแหน่งชิไฮนินที่เธอจะรับมันไว้ทั้งคู่เอง!
“ตัวรินะตอนนั้นยังรักการเป็นไอดอลของวงมากกว่า ยังไม่เคยวาดภาพตัวเองที่เคยยืนบนเวทีมาตลอด 7-8 ปีแล้ววันหนึ่งต้องไปเป็นเบื้องหลัง เราจะมีความสุขกับการทำงานไหมก็ยังไม่รู้เลย
“รินะเลยยืนยันว่าถ้าจะไป CGM48 รินะอยากลองทำงานชิไฮนินคู่กับการเป็นเมมเบอร์มากกว่า ฝั่งผู้ใหญ่ก็ถามย้ำนะว่า ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะเหนื่อยมากๆ แต่รินะคิดไว้แล้วคือ ต่อให้เหนื่อยก็คุ้มที่จะได้ทำค่ะ สุดท้ายก็ตกลงกันแบบนั้น”
วันที่ 10 กรกฎาคม 2019 ในงาน CGM48 We Need You ตัวของ รินะ อิซึตะ ได้รับการประกาศย้ายสมาชิกจากวง BNK48 สู่ CGM48 ในตำแหน่งชิไฮนินและเมมเบอร์ (พร้อมกับ ออม-ปุณยวีร์ จึงเจริญ BNK48 รุ่น 2 ที่ไปพร้อมฐานะกัปตันวงเช่นกัน)
ภาพ: Izurina CGM48 / Facebook
CGM48 คือครอบครัว
“ในชีวิตนี้รินะไม่เคยดูแลเด็กเยอะขนาดนี้มาก่อน” รินะเล่าแบบติดตลกถึงประสบการณ์ในการทำงานกับวง CGM48 และดูแลสมาชิกวงรุ่นแรกถึง 23 ชีวิตที่เธอมีส่วนคัดเลือกมากับมือ
CGM48 มีความเป็นครอบครัวแบบขั้นสุด นั่นคือนิยามของวงน้องสาวจากเชียงใหม่ที่รินะยืนยันว่านิยามนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่งใดๆ
“ถ้าพูดถึง CGM48 มันมีความน่ารักสดใสแบบธรรมชาติ มันมีความอบอุ่นแบบครอบครัวมากๆ เพราะถ้าเปรียบกับ AKB48 มันจะเป็นภาพของเมมเบอร์ที่เป็นเพื่อน-พี่-น้องที่พยายามไปด้วยกัน BNK48 ก็มีความเป็นครอบครัวที่สนิทกัน
“แต่กับ CGM48 มีความเป็นครอบครัวแบบขั้นสุด น้องๆ ที่เข้ามาเราก็เห็นกันตั้งแต่เด็กๆ ทีมงานที่นั่นก็สนิทกันมาก บางครั้งมันก็ได้ฟีลเหมือนเราเป็นแม่ที่มีน้องๆ เป็นลูกๆ เหมือนกันนะ (หัวเราะ)
“และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น CGM48 จะเป็นบ้านหลังสุดท้ายของรินะในฐานะเมมเบอร์”
ความสุขและบทเรียนจากชีวิตไอดอล 14 ปีของรินะ
หลังจากท่องอยู่ในห้วงเวลาของการเป็นไอดอลมาพอสมควร จากเมมเบอร์ธรรมดาคนหนึ่ง วันนี้เธอเดินมาไกลมากๆ มากกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้นับตั้งแต่ตั้งส่งใบสมัครเข้า AKB48 เสียอีก รินะเผยถึงสิ่งที่เป็นความสุขของเธอตลอดช่วงเวลาของการเป็นไอดอลแห่ง 48 Group ภายหลังตัดสินใจจบเส้นทางไอดอลไว้ที่ 14 ปี
“ทุกช่วงเวลาที่ได้เป็นไอดอลมันคือความสุขทั้งหมดเลย ด้วยความที่เป็นคนชอบอยู่บนเวที ชอบร้องเพลงและเต้นอยู่แล้ว
“แต่เวลาที่เจอกับผู้คน ได้พูดคุย คือถ้าเป็นเพื่อนสนิทคุยกันมันจะให้ความรู้สึกเป็นพวกพ้อง เขาก็จะรักเราอยู่แล้ว เวลาที่เรามีปัญหาอะไร คนกลุ่มนี้ก็จะช่วยเรา เป็นกำลังใจให้เราได้ทำแต่เรื่องที่ดีๆ
“แต่เวลาไปเจอผู้คนที่ไม่เคยรู้จักเราเลย มันจะได้บทสนทนาที่เราไม่คาดคิดกลับมาเสมอ มันทำให้เห็นว่าคนข้างนอกมองเราอย่างไร เวลาไปเจอแฟนคลับ ไปทำงาน หรือแม้แต่ไปช้อปปิ้ง พูดคุยกับพนักงาน ก็รู้สึกว่าเวลาได้พูดคุยกับผู้คนทำให้เรามีความสุขไปอีกแบบ”
นอกจากนั้นการทำหน้าที่ไอดอลที่เธออยู่มาแล้ว 3 วง (AKB48, BNK48 และ CGM48) ทำให้รินะได้มองเห็นและเรียนรู้วิถีชีวิตและการทำงานที่แตกต่างกันพอสมควร
“ต้องบอกก่อนว่าเมมเบอร์ญี่ปุ่นกับไทยมันจะเป็นคนละสไตล์กันมากๆ ถ้าเป็นญี่ปุ่นทุกคนจะช่วยกันทำงานให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ทำงานคือทำงาน ส่วนตัวคือส่วนตัว จะไม่มีค่อยมีความเป็นครอบครัวแบบ BNK48 เท่าไร ซึ่งที่นี่จะมีความอบอุ่น มีการหยอกเล่นแบบเพื่อนเย้ากันมากกว่า ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายกว่า
“มันเลยทำให้การทำงานในเมืองไทยของรินะไม่ใช่การทำงานระหว่างเมมเบอร์ด้วยกันแบบปกติ แต่มันเป็นการทำงานแบบพี่แบบน้อง ทุกคนคอยช่วยเหลือกัน เลิกงานก็ไปหาอะไรกินด้วยกัน มีช่วงเวลาที่ทำให้ทุกคนได้เข้าใจกัน ได้รู้จักตัวตนของกันและกันมากขึ้น”
ภาพ: Izurina CGM48 / Facebook
คำขอบคุณจาก ‘รินะ’ ถึง ‘รินะและอาจารย์ทุกคน’ ก่อนที่ชีวิตไอดอลกำลังจะหมดลง
คุยกันมาถึงตรงนี้ รินะทำให้เราได้เห็นถึงการเดินทางของช่วงเวลามหัศจรรย์บนเส้นทางแห่งไอดอลตลอด 14 ปีที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแพสชันอันแรงกล้า และคงไม่ต้องถามต่อแล้วว่าเธอรักสิ่งนี้มากแค่ไหน
และมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าเราเปิดโอกาสให้รินะที่เล่าเรื่องตัวเองยาวเหยียดมากกว่า 10 หน้ากระดาษ ได้ลองพูดถึงตัวเอง ได้ขอบคุณตัวเอง ก่อนชีวิตไอดอลจะหมดลงในอีกไม่ช้า
“ปกติรินะไม่ค่อยคิดถึงตัวเอง ไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไหร่ ชอบโฟกัสที่คนอื่นก่อนตลอด ซึ่งมันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นแล้ว
“สิ่งที่อยากจะขอบคุณตัวเองก็คือ ขอบคุณที่เป็นคนไม่ค่อยคิดเรื่องเครียด สนุกและเอ็นจอยกับงานตลอด ขอบคุณที่ตื่นเต้นกับความท้าทายหรือสิ่งใหม่ๆ ดีใจที่ตัวเองเป็นคนเฟรนด์ลี เข้ากับคนง่าย รู้ว่าตัวเองอยากหรือไม่อยากทำอะไร ถ้ารินะไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ติดตัว บางทีรินะอาจจะไม่กล้าตัดสินใจย้ายมาอยู่เมืองไทยก็ได้
“แล้วยิ่งการมาอยู่คนเดียวด้วยยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปอีก เพราะตอนอยู่ญี่ปุ่นจะอยู่กับครอบครัว ไม่เคยต้องมาทำอาหาร หรือซักผ้าเองก็แทบไม่เคยทำ เพราะตอนเป็นเมมเบอร์ AKB48 คือใช้ชีวิตให้สนุกเฉยๆ
“การมาอยู่ที่นี่คนเดียวต้องเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองหมดเลย แถมมาอยู่ต่างประเทศที่วัฒนธรรมไม่เหมือนญี่ปุ่นอีก (หัวเราะ) แต่ส่วนตัวเป็นคนชอบท้าทายตัวเองอยู่แล้ว รินะมองสิ่งเหล่านี้ในแง่บวกนะ เป็นเรื่องที่ขัดเกลาให้เราเติบโตขึ้น เลยทำให้รู้สึกว่าการมาเมืองไทยทำให้เราได้ท้าทายอะไรหลายอย่างเหมือนกัน
“ขอบคุณและดีใจที่ผลักดันให้ตัวเองมาอยู่เมืองไทย สถานที่ที่ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตและรู้จักกับผู้คนมากมายค่ะ”
ทันทีที่เธอกล่าวความรู้สึกถึงตัวเองจบ รินะไม่รอช้าที่จะยกมือขอใช้เวลาในช่วงท้ายของการสนทนากล่าวคำขอบคุณถึงบุคคลสำคัญที่อยู่ซัพพอร์ตเธอบนเส้นทางไอดอลตลอด 14 ปี นั่นคือ ‘แฟนคลับ’ ของรินะเอง
“ก่อนอื่นรินะอยากจะขอบคุณแฟนคลับของญี่ปุ่นมากๆ ตอนย้ายมาอยู่เมืองไทยรินะคิดว่าอาจจะมีแฟนคลับของเราที่ญี่ปุ่นผิดหวังหรือมีความคิดถึงกัน แต่ตอนกลับไปทำงานที่ญี่ปุ่นก็ได้เจอกับแฟนคลับบ้าง รวมถึงในโซเชียลก็มีแฟนๆ จากญี่ปุ่นที่ติดตามเสมอ
“เวลากลับไปญี่ปุ่นก็ยังมีคนจำได้ รู้สึกว่าดีใจที่ยังมีคนจำรินะได้ ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้อยู่ประเทศเดียวกัน แต่รินะยังสัมผัสได้ว่าทุกคนยังมีความคิดถึงให้กันตลอดค่ะ
“และอยากขอบคุณแฟนคลับของไทย ขอบคุณที่มาสนับสนุนและมอบความรักทำให้คนญี่ปุ่นคนหนึ่งได้อยู่ที่ไทยมานานขนาดนี้ ทุกคนที่รินะได้พบเจอและร่วมงานด้วยไม่ว่าจะเป็นเมมเบอร์ ทีมงาน หรือแม้แต่แฟนคลับ รินะรู้สึกว่าทุกคนเป็นอาจารย์ของรินะทั้งหมดเลย ทุกคนคอยสอนภาษา แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และส่วนหนึ่งที่ทำให้รินะอยู่ได้นานขนาดนี้ เพราะรินะรักประเทศไทยจริงๆ
“ถึงจะมีช่วงที่น่าเป็นกังวล รู้สึกอยากท้อแท้บ้าง แต่เพราะมีแฟนคลับช่วยสนับสนุนรินะมาตลอด ทำให้รินะมีแรงใจลุกขึ้นสู้ได้ทุกครั้ง ดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้รู้จักกันค่ะ
“จนกว่าจะพบกันใหม่
“ありがと” (อาริกาโตะ) 😀