×

สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน

25.11.2024
  • LOADING...

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะมาเร็วแค่ไหน และจะมาแรงแค่ไหน

 

รอบนี้ทรัมป์มาแบบคนใจร้อน การตั้งทีม ครม. ก็ประกาศเกือบครบทุกตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และทรัมป์ได้สั่งให้ทุกชุดนโยบายเตรียมแผนให้เรียบร้อยว่าจะทำอะไรตั้งแต่ Day One และ First One Hundred Days

 

แต่เรื่องนโยบายการค้าก็ยังคงไม่แน่นอนสูง คนที่หวังว่าสงครามการค้าคงไม่ทำจริงหรือไม่ทำเร็ว ก็จะชี้ว่าตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จเป็นต้นมา ทรัมป์แทบไม่พูดเรื่องนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีอีกเลย และตัวทรัมป์เองดูจะแคร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก ที่ปรึกษาทุกคนน่าจะบอกกับทรัมป์ว่าถ้าตั้งกำแพงภาษีกับจีนและทั่วโลกในสเกลแบบที่ทรัมป์หาเสียง ตลาดจะต้องช็อกและหุ้นจะต้องตกระเนระนาดแน่

 

ส่วนคนที่เชื่อว่าทรัมป์น่าจะทำจริง ทำแรง และทำเร็วนั้น มองว่ามาครั้งนี้ทรัมป์ต้องการจะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและความสัมพันธ์กับจีนในระดับพื้นฐานจริงๆ และชุดความคิดนี้เป็นสิ่งที่ทีมงานของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นว่าที่รัฐมนตรีพาณิชย์หรือว่าที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ต่างประกาศแล้วว่าเชื่อมั่นในแนวทางนี้

 

ตัวผมเองพยายามประเมินข่าวแวดล้อม ทำให้มั่นใจว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีจีนทันทีตั้งแต่วันแรกหรือไม่นานหลังเข้ารับตำแหน่ง และเขาจะเร่งเครื่องออกมาตรการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากทั่วโลกด้วย ทรัมป์คงไม่ได้ขึ้นแบบรวดเดียวต่อจีนร้อยละ 60 และต่อทุกประเทศร้อยละ 10 ทันทีทันใดในคราวเดียว ในช่วงแรกสุดเขาน่าจะเลือกทำเป็นกลุ่มสินค้า (เพื่อให้กระทบผู้บริโภคน้อยหน่อย) และเน้นที่จีนให้หนักก่อน แต่ทิศทางคือจะทำจริง จะทำกับทุกประเทศ และจะมาแรงและเร็วกว่าสงครามการค้ารอบที่แล้ว

 

ในจีนเองยังมีนักวิเคราะห์ที่มองโลกในแง่ดีว่า กว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีต่อจีนได้น่าจะเป็นช่วงปลายปีหน้า โดยดูจากไทม์ไลน์ของการขึ้นกำแพงภาษีในรัฐบาลทรัมป์ 1 ซึ่งอาศัยอำนาจของประธานาธิบดีตามมาตรา 301 ของ Trade Act of 1974 และมาตรา 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 โดยจำเป็นต้องมีกระบวนการสอบสวนพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม (ตามมาตรา 301) และผลกระทบต่อความมั่นคง (ตามมาตรา 232) เสียก่อน การสอบสวนจัดทำรายงานต้องใช้เวลาและจำเป็นต้องระบุกลุ่มสินค้าให้ชัดเจน ไม่สามารถขึ้นทุกสินค้าจากจีนแบบที่ทรัมป์หาเสียงได้ และกว่าจะสอบสวนทำรายงานเสร็จก็น่าจะใช้เวลาถึงปลายปีหน้า

 

แต่ในวงการกฎหมายสหรัฐฯ ขณะนี้มีการพูดกันมากว่าทรัมป์อาจเลือกใช้อำนาจตามกฎหมาย The International Emergency Economic Powers Act of 1977 โดยประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจและขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อยากจะขึ้นได้ตั้งแต่วันแรก รอบนี้ทรัมป์อาจมาไม้ใหม่ ไม่ได้ใช้ไม้เดิมที่ต้องใช้เวลาสอบสวนนานแบบคราวที่แล้ว

 

ขณะเดียวกัน ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าทีมงานของทรัมป์ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกรีพับลิกันในสภาคองเกรส โดยต้องการจะออกกฎหมายเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้า นักกฎหมายหลายคนสงสัยว่าเหตุใดทรัมป์จึงต้องการออกเป็นกฎหมาย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วการขึ้นกำแพงภาษีเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่ทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปผ่านไปพึ่งคองเกรสให้ออกกฎหมายใหม่แม้แต่น้อย

 

คาดกันว่าทรัมป์มีสามเป้าหมายที่ในระยะยาวเขาต้องการเข็นเรื่องนี้ให้ผ่านเป็นกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้คำสั่งประธานาธิบดี

 

หนึ่ง ทรัมป์ต้องการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นการทั่วไปต่อทุกกลุ่มสินค้าและทุกประเทศ ดังที่ทรัมป์หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกร้อยละ 10 ซึ่งมีนักกฎหมายหลายคนมองว่าหากอาศัยตามอำนาจกฎหมายการค้าปกติ ประธานาธิบดีน่าจะขึ้นกำแพงภาษีได้อย่างเฉพาะเจาะจงกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มประเทศที่เอาเปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เป็นประเด็นทางกฎหมายว่าจะสามารถขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดเป็นการทั่วไปได้หรือไม่โดยอาศัยอำนาจทางบริหารหรือต้องไปขอสภาผ่านเป็นกฎหมาย

 

สอง ทรัมป์ต้องการให้การขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเป็นเรื่องระยะยาวที่ต่อไปไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หากเป็นเพียงการขึ้นกำแพงภาษีโดยอำนาจประธานาธิบดี ประธานาธิบดีคนใหม่มาถึงก็สามารถเปลี่ยนแปลงยกเลิกได้ทันที แต่หากเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภาคองเกรส ก็จะอยู่ที่ว่าพรรคใดคุมคองเกรสและอาจต้องเสียต้นทุนทางการเมืองมากสำหรับประธานาธิบดีที่จะกลับลำนโยบายนี้ เรียกว่าทรัมป์คิดในระดับปฏิวัติทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลก ไม่ได้มองว่าการตั้งกำแพงภาษีจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเพื่อใช้บีบคู่ค้าให้มาเจรจาเท่านั้น

 

สาม มีข่าวว่าทรัมป์ต้องการขอให้สภาคองเกรสพิจารณาเรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าควบคู่ไปพร้อมกับแพ็กเกจการลดภาษีเงินได้ภายในประเทศ เพื่อให้เอารายได้จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้ามาคิดทดแทนตัวเลขการลดภาษีภายในประเทศของทรัมป์ (ทรัมป์จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เลิกเก็บ Tax on Tips และ Tax on Overtime)

 

แต่เดิมมีหลายคนมองว่านโยบายลดภาษีของทรัมป์จะทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ดูไม่จืด แต่แนวคิดของทรัมป์คือจะเอารายได้จากภาษีนำเข้ามาเป็นรายได้สำคัญแทนรายได้จากภาษีเงินได้ภายในประเทศ ดังที่ทีมของทรัมป์ชอบคุยถึงยุคของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ในช่วงเริ่มต้นตั้งประเทศสหรัฐฯ ซึ่งรายได้หลักทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ตอนเริ่มต้นมาจากการเก็บภาษีนำเข้าเป็นหลัก

 

สำหรับจีน ทรัมป์ยังต้องการให้คองเกรสออกกฎหมายยกเลิกสถานะการเป็นชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Status) ของจีน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าจีนทั้งหมดต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าคู่ค้าประเทศอื่นของสหรัฐฯ ข้อนี้จะมีผลสำคัญมากในเชิงสัญลักษณ์ต่อการหย่าขาดกับจีนในทางเศรษฐกิจ และจะมีผลระยะยาวที่ประธานาธิบดีคนใหม่มาก็ยากที่จะเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ที่ดิ่งเหวลงในทางการค้านี้ได้

 

เมื่อดูการเตรียมการต่างๆ ที่ออกมาตามข่าวแล้ว ผมจึงเห็นว่าทรัมป์กำลังเดินไปในทิศทางที่แรงและเร็วในเรื่องสงครามการค้า แม้คงจะไม่ได้ทำสงครามการค้าทันทีทั้งหมดกับจีนและทุกประเทศ แต่จะค่อยๆ เดินไปตามแนวทางการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าทั่วโลก เพราะเป้าหมายของเขารอบนี้ต้องการปฏิวัติรากฐานระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและปฏิวัติให้การเก็บภาษีสินค้านำเข้ากลายมาเป็นรายได้สำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ เลยทีเดียว

 

ภาพ: Brian Snyder / Reuters

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X