ถึงตัวอักษรจะถ่ายทอดสิ่งที่คุณคิดได้ก็จริง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถถ่ายทอด ‘ความรู้สึก’ ที่แท้จริงออกมาได้ทั้งหมด แถมเรายังเผลอตีความน้ำเสียงผ่านตัวอักษรด้วย ‘มุมมอง’ ของเรา จนทำให้พลาดที่จะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริง
‘เสียง’ มีอิทธิพลต่ออารมณ์มากกว่าที่เราคิด นักวิทยาศาสตร์จาก McGill University ทำวิจัยเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ในการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของคู่สนทนาจากเสียง พบว่ามนุษย์สามารถจำแนกอารมณ์โกรธ เศร้า หรือมีความสุข ได้ทันทีหลังจากฟังเสียง แม้จะเป็นเสียงพูดที่จับใจความไม่ได้
นี่คือจุดเริ่มต้นให้ Vocalbeats บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสิงคโปร์ ที่ต้องการจะสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานผ่านเสียง พัฒนา ‘buz’ แอปพลิเคชันส่งข้อความที่เน้นสื่อสารด้วยเสียง
ด้วยความเชื่อที่ว่า ‘พลังของเสียง’ จะทำให้การสื่อสารทรงพลังยิ่งขึ้น เพราะ ‘เสียง’ เป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญที่จะทำให้เกิดการสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ เป็นวิธีการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติที่สุดและสามารถบ่งบอกตัวตน อารมณ์ และความรู้สึกของผู้พูดได้ การสื่อสารด้วยเสียงจึงเป็นการสื่อสารที่แสนเรียบง่าย สามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันได้อย่างจริงใจ
‘ความเรียบง่าย’ จึงกลายมาเป็นสิ่งที่ buz ให้ความสำคัญและสะท้อนออกมาผ่านอัตลักษณ์และองค์ประกอบต่างๆ ของแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ที่เลือกใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด ฟอนต์ที่มีความโค้งมน ที่ไม่เพียงแค่อ่านง่ายเท่านั้น แต่ยังสื่อให้เห็นถึง ‘ความง่าย’ ของการสื่อสารด้วยเสียง และ ‘ความเข้าถึงง่าย’ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานแอป buz ได้ ซึ่งโลโก้และฟอนต์นี้ได้รับการออกแบบโดย มิซุโนะ มานาบุ นักออกแบบและผู้กำกับศิลป์ชาวญี่ปุ่น ผลงานที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีคือการออกแบบ ‘คุมะมง’ (Kumamon) มาสคอตที่กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองคุมาโมโตะ
แม้แต่ Tagline ของแอปพลิเคชันที่เลือกใช้คำว่า ‘voice connects’ ที่สื่อถึงแก่นของแอปได้อย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ก็ตอกย้ำให้เห็นถึง ‘พลังของเสียง’ ที่สามารถเชื่อมโยงทุกคนบนโลกเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทั้งยังสามารถสื่อสารความรู้สึกและสร้างบรรยากาศการสนทนาที่แตกต่างหลากหลาย เช่น คนรักกับบทสนทนาที่สื่อถึงความรักที่จริงใจ ครอบครัวกับบทสนทนาที่แสนอบอุ่น หรือเพื่อนกับบทสนทนาที่สนุกสนานเป็นกันเอง ขณะเดียวกันก็ยังถ่ายทอดความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อทุกคนด้วยการสื่อสารด้วยเสียงแบบเรียลไทม์ ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย
เหนือสิ่งอื่นใดคือการออกแบบ Interface ของแอปให้มีความเรียบง่าย เข้าใจง่าย ไม่ว่าใครก็ใช้งานได้ ช่วยทลายกำแพงระหว่างเจเนอเรชันให้เชื่อมโยงกันด้วยเสียง
ถึงตาคุณทดสอบ ‘พลังเสียง’ แล้ว
อย่างที่บอกว่า buz ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานทุกคนผ่านฟีเจอร์หลัก ได้แก่
- Push To Talk: แค่กดปุ่มสีเขียวบนหน้าจอที่มีข้อความ ‘Push to Talk’ หรือ ‘กดเพื่อพูด’ ก็สามารถส่งข้อความเสียงแบบเรียลไทม์ได้
- Auto-play: ช่วยให้การสื่อสารสะดวกและไร้รอยต่อ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เรากำลังดู YouTube หรือซีรีส์ ติดพันอยู่ พอมีใครส่งข้อความมา ไม่ว่าจะเป็นเสียง ข้อความ หรือภาพ เราต้องสลับไปเปิดอ่าน แต่ buz ถ้าคุณไม่ได้เปิด Quiet Mode ไว้ ใครส่งข้อความมาเราจะได้ยินเสียงแทรกขึ้นมาระหว่างใช้งานแอปอื่นๆ ทันที วิธีตั้งค่าก็แค่เข้าไปที่มุมซ้ายบนของหน้า Home Page แล้วกดเปิดใช้งาน Auto-play เพียงเท่านี้ก็สามารถรับส่งข้อความเสียงได้แม้ไม่ได้ปลดล็อกหน้าจอ
- Voice Powered by Artificial Intelligence (AI): buz จับมือกับ OpenAI พัฒนาร่วมกันเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อความเสียงที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น สามารถตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้
- Instant voice-to-text transcription: ฟีเจอร์ที่จะช่วยถอดเสียงพูดเป็นข้อความแบบทันที ในกรณีที่ผู้ใช้งานไม่สะดวกรับข้อความเสียง สามารถเข้าไปกดไอคอนลำโพงด้านซ้ายบนเพื่อเปิด Quiet Mode ข้อความเสียงที่อีกฝั่งส่งมาก็จะเปลี่ยนเป็นตัวอักษรอัตโนมัติ เราสามารถตอบเป็นเสียงหรือแชตกลับเป็นตัวอักษรก็ได้
- Voice translations: ด้วยเทคโนโลยี AI ที่จะช่วยทลายกำแพงภาษา โดยฟีเจอร์นี้สามารถแปลภาษาจากข้อความเสียงที่ได้รับถึง 27 ภาษาทั่วโลก*
กิมมิกที่ถูกใจสายขี้เล่นเห็นจะเป็น Voicemojis ที่ส่งเสียงได้ตามความรู้สึกของอีโมจินั้นๆ ทำให้คุยสนุกและมีลูกเล่นมากขึ้น รวมถึงแชร์วิดีโอ รูปภาพ ลิงก์ และโลเคชัน ผ่านแชตได้ด้วย
และ buz ยังมีนโยบายความปลอดภัยของข้อมูลผ่านการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านข้อมูล (Data Compliance) ตามมาตรฐาน ISO เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าการสนทนาจะปลอดภัยและเป็นความลับ
ปัจจุบัน buz มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 20 ล้านครั้งทั่วโลก ขึ้นแท่นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมโดยรวมเป็นอันดับ 2 บน App Store เป็นที่เรียบร้อย
ใครที่ชอบส่งข้อความเสียง เบื่อพิมพ์ และร้อนใจเวลาส่งข้อความไปแล้วเพื่อนไม่อ่าน ไปโหลดมาใช้ได้เลยที่ Apple Store และ Google Play สามารถใช้ได้กับหลากหลายอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ไอแพด และสมาร์ทวอทช์
หมายเหตุ: * ฟีเจอร์ Voice translations แปลภาษาจากข้อความเสียงได้ถึง 27 ภาษาทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อินโดนีเซีย, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน, มาเลย์, โปรตุเกส, รัสเซีย, สเปน, ตากาล็อก, เวียดนาม และภาษาอื่นๆ (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2567)
อ้างอิง: