ภาพของ จูด เบลลิงแฮม จับมือกับ โจนส์ เบลลิงแฮม เอ้ย เคอร์ติส โจนส์ เพื่อฉลองประตูปิดท้ายในเกมที่ทีมชาติอังกฤษบุกไปถล่มทีมชาติกรีซขาดลอยถึง 3-0 ในศึกฟุตบอลยูฟ่าเนชันส์ลีก เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (14 พฤศจิกายน) เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะสำหรับคนที่เฝ้าติดตามพัฒนาการของโจนส์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วันนี้นักเตะจากทีมลิเวอร์พูลก้าวมาถึงการเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เส้นทางของกองกลางจอมม้วนต้องผ่านบททดสอบของชีวิตและต้องเรียนรู้อะไรมามากมายเลยทีเดียว ซึ่งบทเรียนชีวิตของโจนส์นั้นเป็นบทเรียนชีวิตที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
จากเด็กเทพในระดับอะคาเดมีสู่โลกของความจริงที่โหดร้าย ที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้เก่งมากไปกว่าคนอื่น
โจนส์ทำอย่างไรถึงพิสูจน์ตัวเองและอยู่ในจุดนี้ได้?
เด็กเทพที่ดีไม่พอ
เคอร์ติส โจนส์ เป็นสายเลือดสเกาเซอร์แท้ๆ ที่ถูกต้องของชาวเมืองลิเวอร์พูลและเป็นสายเลือดเข้มข้นของสโมสรลิเวอร์พูลด้วย เพราะถูกคัดตัวเข้ามาอยู่ในอะคาเดมีของสโมสรตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ
โจนส์เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการเล่นสูงส่งในตัว เก่งในระดับเป็นที่อื้ออึงอยู่ในวงการฟุตบอลเยาวชนท้องถิ่น โดยหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่ได้โอกาสลงเล่นช่วงแรกเป็นรายการชิงแชมป์สโมสรระดับทวีป ซึ่งเขาคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการมาครองได้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ (พร้อมกับความแสบด้วยการตัดผมทรงโรนัลโด R9)
หลังจากนั้นโจนส์ก็ก้าวกระโดดมาตลอด เรียกว่าเก่งเกินรุ่นเดียวกันไปเยอะ จนทำให้มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อกำลังก้าวมาใกล้ถึงทีมชุดใหญ่ คนที่ดึงโจนส์กลับสู่โลกของความจริงคือ สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมที่มีสถานะเป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร และกลับมาเป็นโค้ชของทีมอะคาเดมีในเวลานั้น ที่แม้จะชื่นชอบฝีเท้าของเด็กคนนี้อยู่ลึกๆ แต่เพราะเห็นแก่อนาคตที่ควรจะไปได้ไกล
เจอร์ราร์ดเป็นคนแรกๆ ที่บอกโจนส์ในสิ่งที่เขาขาด เป็นความจริงที่โหดร้าย (Harsh Truth) ที่เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าฟังแล้วเจ็บปวด
แต่ถึงจะรู้สึกเสียใจ ความจริงใจของเจอร์ราร์ดทำให้โจนส์มองเห็นภาพของความเป็นจริง และยิ่งตระหนักในเรื่องนี้ว่าสิ่งที่ตำนานบอกเขาไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปจากความเป็นจริง เพราะเมื่อขึ้นมาลองสัมผัสทีมชุดใหญ่ก็ได้เห็นเลยว่าในทีมนั้นเต็มไปด้วยคนที่เก่งกว่ามากมาย คนนั้นวิ่งไวกว่า คนนี้เลี้ยงบอลเก่งกว่า คนนั้นสมองดีในการเล่นบอลที่ฉลาดกว่า
ในเวลาแบบนี้มันมีทางเลือกไม่มากให้ตัดสินใจ
จะออกไปหาทีมใหม่ หรือออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับทีมอื่น หรือจะสู้ที่นี่?
โจนส์เลือกที่สู้ต่อที่นี่ เพราะมั่นใจในความสามารถของตัวเองแม้จะยอมรับความจริงว่าเขายังดีไม่พอก็ตาม และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมาที่แม้จะใช้เวลาอยู่พอสมควรจนเกือบจะถึงทางตันบ้าง แต่เขาก็หาหนทางไปต่อได้เสมอ
โดยที่เจ้าตัวขอบคุณเจอร์ราร์ดเสมอในฐานะคนที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ (Mentality) ให้เขาพร้อมสำหรับการก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล
แต่ลึกๆ แล้วถ้าโจนส์เป็นคนที่ไม่พร้อมรับฟังและยอมรับความจริงได้ บางทีอนาคตของเขาอาจไม่ต่างจากดาวรุ่งหลายคนที่แจ้งเกิดเหมือนดอกไม้ไฟ ก่อนจะหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ไม่ทำในสิ่งที่ชอบ-ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ
ในบทสัมภาษณ์รายการ We Are Liverpool นอกจากเรื่องของเจอร์ราร์ดแล้ว โจนส์ยังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เจอร์เกน คล็อปป์ อดีตเจ้านายในทีมชุดใหญ่ด้วย
โดยหากเจอร์ราร์ดคือคนที่ช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการขึ้นมาในทีมชุดใหญ่
คล็อปป์ (และทีมงาน) ก็คือคนที่ช่วยให้เขาพร้อมสำหรับการได้อยู่และลงเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่มันมีของที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน และสิ่งนั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงการเล่นไปในแบบที่โจนส์ไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อน
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก โจนส์เป็นนักฟุตบอลในแบบ ‘เบอร์ 10’ เป็นตัวทำเกมอัจฉริยะที่สามารถสร้างสรรค์เกมได้อย่างลื่นไหลสวยงาม มีทักษะในการครองบอลเหนียวแน่น เลี้ยงบอลดี เล่นฉลาด จนถึงสามารถทำประตูได้ด้วย
โดยเฉพาะลูกทีเด็ดอย่างการปั่นไซด์โค้งนอกกรอบเขตโทษเพื่อให้เสียบสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นประตูเปิดตัวของเขาในทีมชุดใหญ่ที่เขี่ยเอฟเวอร์ตันตกรอบเอฟเอคัพในฤดูกาล 2018/19 เป็นเครื่องหมายการค้าประจำตัว
คล็อปป์เองมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวโจนส์เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะเห็น
สิ่งที่บอสชาวเยอรมันอยากเห็นคือ การที่โจนส์ไปช่วยไล่บอลเพรสซิงตั้งแต่แดนบนจนถึงการลงมาช่วยทีมเล่นเกมรับ
ทำได้หรือเปล่า?
สถานการณ์แบบนี้วัดใจทุกคน เพราะเราต่างมีสิ่งที่ถนัด สิ่งที่ชอบ และสิ่งที่เชื่อว่าเราทำได้ดี เมื่อถูกขอร้องให้ทำในสิ่งที่ไม่ถนัด จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับและปรับตัวได้
ถึงแม้ว่าโจนส์จะต่อต้านทางความคิด แต่ปากก็ตอบคล็อปป์ไปแล้วว่า “ได้ครับ” และเขาก็เรียนรู้วิธีการเล่นแบบใหม่ที่เจ้านายเตรียมการบ้านไว้ให้ ซึ่งก็สามารถทำการบ้านนี้ได้เป็นอย่างดี จนสุดท้ายชนะใจคล็อปป์ได้สำเร็จและกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่บอสพร้อมจะส่งลงสนามตามสถานการณ์ต่างๆ
เช่น เวลาตามหลังคู่แข่งก็รู้ว่าถ้าส่งโจนส์ลงไปเขาจะช่วยเก็บบอลได้และสร้างสรรค์เกมได้ด้วย หรือในสถานการณ์ที่นำอยู่แล้วต้องการความนิ่งในการครองจังหวะ เกมกองกลางรายนี้ก็พร้อมที่จะทำหน้าที่
โดยที่เจ้าตัวบอกว่าการที่คล็อปป์เอ่ยปากชมเขาในเรื่องการเพรสซิงและการช่วยเกมรับ ถือเป็นคำชมที่เป็นเครื่องสะท้อนว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากในอดีตมามากแค่ไหน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะเรียนรู้แบบไหนก็ต้องคงความเป็นตัวเองเอาไว้เสมอ ไม่จำเป็นต้องเล่นให้เหมือนคนอื่นทั้งหมด แค่เล่นตามโจทย์ของเจ้านายและรักษาสไตล์ในแบบของตัวเองไว้ แต่ต้องเล่นแบบคนที่เติบโตขึ้น รับผิดชอบต่อตัวเองและทีมได้ดีขึ้น
จะต้องเริ่มใหม่สักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร
ถึงจะแจ้งเกิดตั้งแต่อายุน้อยแค่ 18 ปี แต่ชีวิตของโจนส์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในทางตรงกันข้ามชีวิตของเขาเต็มไปด้วยขวากหนามที่ทิ่มแทงจนเสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา
หนึ่งในอุปสรรคของชีวิตคือ การที่เขามักจะถูกถอดออกจากทีมเสมอไม่ว่าจะเล่นดีแค่ไหนก็ตาม ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าคู่แข่งในแดนกลางของลิเวอร์พูลนั้นเต็มไปด้วยนักเตะระดับชั้นดี ไม่ว่าจะเป็น ฟาบินโญ, จินี ไวจ์นาลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ หรือแม้แต่ อดัม ลัลลานา ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของคล็อปป์มากกว่า
หลายครั้งที่โจนส์อาจได้โอกาสลงเล่น 2-3 นัดติด แต่ก็จะโดนดรอปและหายไปจากทีมอีก 4-5 นัด ทำให้การเล่นไม่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของอาการบาดเจ็บหลายครั้งที่ทำให้ต้องหายหน้าไปจากทีม บางครั้งที่เขากำลังเล่นดีก็มีอันต้องไปพักรักษาตัวเสียอย่างนั้น ซึ่งสำหรับนักฟุตบอลแล้วไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยและชวนทดท้อใจเอาได้ง่ายๆ
ยังดีที่ไม่ว่าจะเป็นคล็อปป์หรือเพื่อนร่วมทีมต่างก็พูดคุยกันด้วยความเข้าใจและพยายามบอกให้รู้ว่าเขาอายุยังน้อย มีเวลาและโอกาสรอคอยอยู่อีกมาก สิ่งสำคัญจริงๆ คืออย่าหยุดที่จะพยายาม ซึ่งที่ผ่านมาก็นับว่าเป็นความสำเร็จแล้ว
ที่สำคัญโจนส์เองก็ไม่ยอมแพ้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากช่วงชีวิตวัยเด็กที่เติบโตมาบนท้องถนนลิเวอร์พูล ในย่านที่ใช้ชีวิตเหมือนการต่อสู้ เติบโตมากับเด็กที่โตกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีความเป็นนักสู้และมีความ Resilient
แม้กระทั่งในฤดูกาลที่แล้วที่เหมือนเขาจะเริ่มยึดตำแหน่งในทีมได้ แต่ปรากฏว่าลิเวอร์พูลซื้อกองกลางเข้ามาใหม่ถึง 4 คนด้วยกัน ซึ่งเมื่อถูกถามถึงความรู้สึกหลังจากได้เห็นเพื่อนที่เป็นคู่แข่งใหม่ทั้ง 4 คนแล้ว ทำให้เขารู้สึกท้อและคิดว่า “นี่จะต้องเริ่มใหม่อีกแล้วเหรอ” บ้างไหม หรือ “คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
โจนส์บอกว่าเขาคิดทั้งสองอย่างคือ รู้ว่าสโมสรใหญ่อย่างลิเวอร์พูลการจะมีนักเตะใหม่ที่เป็นคู่แข่งเข้ามาย่อมเกิดขึ้นได้
แต่อีกใจหนึ่งก็แอบคิดเหมือนกันว่านี่จะต้องเริ่มพิสูจน์ตัวเองกันใหม่อีกแล้วเหรอ เมื่อไรถึงจะดีพอ?
อย่างไรก็ดี โจนส์ตกผลึกได้ว่า “ไม่เป็นไร ขอลุยสู้เพื่อชิงตำแหน่งกันหน่อย” ซึ่งที่สุดแล้วเขาก็พิสูจน์ตัวเองได้ว่ายังดีพอเสมอที่จะอยู่ในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล
เช่นเดียวกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถึงจะไม่มีชื่อไปยูโร 2024 แต่วันนี้โจนส์ก็พิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าเขาดีพอเสมอสำหรับทีมสิงโตคำรามที่จะเข้าสู่ยุคใหม่
Play It Forward
โจนส์เปิดเผยว่ามี ‘พี่ใหญ่’ 3 คนด้วยกันที่มีส่วนสำคัญในชีวิตการเล่นของเขา
คนแรกคือ เจมส์ มิลเนอร์ คนที่สองคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และคนที่ 3 คือ อดัม ลัลลานา ซึ่งเป็น 3 นักเตะดีกรีทีมชาติอังกฤษที่ล้วนเป็น ‘มืออาชีพ’ ที่น่ายกย่อง
การดูแลจากรุ่นพี่เหล่านี้ซึ่งไม่ใช่แค่การกางปีกปกป้อง แต่ยังเป็นการคอยสั่งสอน ย้ำเตือน และดุด่า ในเวลาที่ทำไม่ดี ทำให้โจนส์ค่อยๆ เป็นผู้เป็นคนทางเกมลูกหนังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว (ในขณะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เป็นรุ่นพี่จากอะคาเดมีเหมือนกัน และ อลิสสัน เบคเกอร์ ประตูมือหนึ่งชาวบราซิลที่เป็นสายซัพพอร์ตและคอยทำความเข้าใจกัน)
ครั้งหนึ่งมิลเนอร์เคยเล่าในรายการ High Performance ถึง “เด็กคนหนึ่งในทีมลิเวอร์พูลที่มาพร้อมกับความสามารถที่มหัศจรรย์ เป็นเด็กที่ตลกและน่ารัก แต่อาจไม่ได้พยายามมากเท่าที่เขาควรจะเป็น”
สิ่งที่มิลเนอร์ทำคือการพยายามบอก บ่น ก่นด่า สั่งสอน ตำหนิ และจ้ำจี้จ้ำไชเด็กคนนั้น จนสุดท้ายเด็กคนที่เขาและทุกคนมองเห็นแววอยู่แล้วว่าเป็นนักเตะที่เก่งกาจมากๆ เริ่มเอาดีจนได้
ถึงจะไม่มีการเอ่ยชื่อ แต่เด็กคนนั้นของมิลเนอร์ก็เป็นที่เข้าใจว่าคือโจนส์นั่นเอง ซึ่งเป็นที่ชื่นชมในทีมลิเวอร์พูลถึงความตั้งใจ โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาฝึกในยิม การเตรียมความพร้อมก่อนลงสนาม และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้เล่นที่คนเคยหย่อนยานอย่างเขากลายเป็นคนที่มีวินัยได้
และเมื่อได้รับสิ่งที่ดีจากรุ่นพี่มา สิ่งที่โจนส์ต้องการทำคือการส่งต่อสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้แก่รุ่นน้องที่ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ตามหลังเขามา
เพราะโจนส์รู้ดีว่าสิ่งที่เด็กจากอะคาเดมีที่ก้าวขึ้นมาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร และเขาจะมีคำแนะนำอะไรที่ดีให้แก่น้องๆ เหล่านี้ได้บ้าง
เช่น ในรายของ คาลัม สแกนลอน ตัวริมเส้นดาวรุ่งที่มีฝีเท้าจัดจ้านโดดเด่น ชอบวิ่งขึ้นลงและพาบอลไปกับตัว โจนส์จะแนะนำแบบอ้อมๆ ว่า “แทนที่จะเลี้ยงบอลไป ลองดึงจังหวะเคาะบอลครองบอลก่อนให้คู่แข่งขยับมาไล่ เดี๋ยวพื้นที่ก็จะเปิดและมีช่องให้ทะลุขึ้นไปได้เอง”
View this post on Instagram
A Better Man
แต่ในความพยายามทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา โจนส์เพิ่งจะค้นพบจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของชีวิต
จิ๊กซอว์ชิ้นนั้นคือการได้เป็นพ่อคน ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เขาค้นพบบางอย่างในจิตใจที่สะท้อนผ่านการเล่น และเราอาจเรียกสิ่งนั้นได้ว่า ‘ความสุข’
ความสุขจากการได้เป็นคุณพ่อของลูกสาวที่น่ารักเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
โจนส์ให้สัมภาษณ์หลังจากที่ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะเชลซีได้ 2-1 ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อเดือนที่แล้วว่า “การได้เป็นพ่อคนคือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมลงเล่นโดยมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า มันเป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่าง ลูกสาวตัวน้อยๆ ของผมก็คงภูมิใจด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมหวังว่าแฟนสาวและลูกสาวของผมที่บ้านจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเธอด้วย”
เรื่องนี้แม้แต่ อาร์เน สลอต ก็แอบแซวเหมือนกันว่าตั้งแต่ได้เป็นพ่อคน ฟอร์มการเล่นของโจนส์ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ฟอร์มของโจนส์ผมไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยว เพราะตั้งแต่ที่เขาได้เป็นคุณพ่อเขาก็เล่นได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงเราจะไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องไหม เพราะเขาก็ทำได้ดีในช่วงพรีซีซัน แล้วฟอร์มก็ดรอปลงไป แต่พอได้เป็นคุณพ่อแล้วฟอร์มเขาก็กลับมาอีกครั้ง”
จริงอยู่ที่การที่ใครคนหนึ่งจะทำเรื่องอะไรได้ดีสักอย่าง มันมาจากการเก็บเกี่ยวของสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดของชีวิต
แต่สำหรับโจนส์ หลังชีวิตที่ต้องต่อสู้มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่เรื่องของการเล่นในสนาม แต่รวมถึงการต่อสู้อย่างหนักหน่วงทางจิตใจ การได้ค้นพบความสุขที่ยิ่งใหญ่จากการเป็นพ่อ ความรู้สึกของความรับผิดชอบในอีกด้าน ทำให้เขาอาจค้นพบคำตอบในจิตใจและกลายเป็น ‘คนที่ดีขึ้น’
วันนี้เขาดูพร้อมที่จะเฉิดฉาย เป็นเด็กในคำทำนายที่เจอร์ราร์ดเคยบอกกับคล็อปป์ไว้
“คุณดูแลเด็กคนนี้ให้ดีเถอะ ช่วยนำทางเขาให้ก้าวไปถูกทาง เด็กคนนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”
โดยที่บางทีเราก็อาจลืมไปว่านี่เป็นแค่นักเตะดาวรุ่งวัย 23 ปี
ที่ไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไป
อ้างอิง:
- https://www.nytimes.com/athletic/5659575/2024/07/26/curtis-jones-liverpool-arne-slot-jurgen-klopp/
- https://www.liverpoolfc.com/th/news/curtis-jones-im-playing-smile-my-face
- https://www.thetimes.com/sport/football/article/curtis-jones-euro-2024-england-squad-2mtqtkvmn
- https://www.youtube.com/watch?v=2d5OX46CD0k