Nissan Motor เผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อต้องประกาศปรับลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% พร้อมปลดพนักงานกว่า 9,000 ตำแหน่ง ท่ามกลางภาวะกำไรที่ดิ่งลงอย่างรุนแรง สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกด้านวัฒนธรรมองค์กรที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุค Carlos Ghosn อดีต CEO ที่ถูกไล่ออกด้วยข้อหาทุจริตทางการเงินในปี 2018
ตัวเลขผลประกอบการล่าสุดของ Nissan ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ เมื่อกำไรสุทธิร่วงลงถึง 94% เหลือเพียง 1.92 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 4.3 พันล้านบาท)
โดย Makoto Uchida ประธานบริษัท แสดงความรับผิดชอบต่อการปรับลดประมาณการกำไรครั้งที่ 2 ในปีงบประมาณนี้ พร้อมกล่าวยอมรับว่าเป็นความล้มเหลวที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่
ปัญหาหลักมาจากตลาดอเมริกาเหนือ ที่ขาดทุนจากการดำเนินงาน 4.1 พันล้านเยน (ประมาณ 920 ล้านบาท) ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน ซึ่งต่างจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำกำไรได้ถึง 2.413 แสนล้านเยน (ประมาณ 5.41 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็น 70% ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น จากรถยนต์รุ่นขายดี 10 อันดับแรกในสหรัฐฯ มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่เปิดตัวในปี 2022-2023 และจำนวนรุ่นที่มียอดขายเฉลี่ยต่อเดือนเกิน 1,000 คัน ก็ลดลงจาก 19 รุ่นในปี 2014 เหลือเพียง 12 รุ่น
สาเหตุสำคัญมาจากการที่ Nissan ‘มุ่งเน้น’ การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากกว่ารถไฮบริด ในขณะที่ตลาดกลับมีความต้องการรถไฮบริดมากขึ้น
นักวิเคราะห์หุ้นรายหนึ่งระบุว่า ในช่วงที่เกิดการขาดแคลนชิปทั่วโลกจากวิกฤตโควิดราวปี 2022 ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่มีจำนวนจำกัดและขายได้ราคาสูง “Nissan ไม่ได้เตรียมพร้อมในการปรับปรุงไลน์อัพสินค้าในช่วงที่กำไรยังมีเสถียรภาพ” ต่างจากคู่แข่งอย่าง Toyota Motor
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ Nissan ประกาศแต่งตั้ง Guillaume Cartier ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย ยุโรป และโอเชียเนีย ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chief Performance Officer ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้ พร้อมเร่งลดรอบการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่จาก 50-60 เดือน เหลือเพียง 30 เดือน
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ Honda Motor และ Mitsubishi Motors ในการพัฒนาซอฟต์แวร์และชิ้นส่วน EV แม้จะต้องขายหุ้นบางส่วนใน Mitsubishi Motors ออกไปเพื่อแก้ปัญหาด้านการเงิน
อ้างอิง: