ภาพการบุกเข้าไปทะลวงประตูแล้วประตูเล่าของเหล่าขุนพลนักเตะเบลเยียมที่เติบโตจากปีศาจตัวน้อยสู่การเป็น ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ ที่แท้จริง โดยมี ตูนิเซีย เป็นเหยื่อรายที่ 2 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกสวนทางกับสิ่งที่ได้เห็นจากเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่ เอเดน อาซาร์, โรเมลู ลูกากู, ดรีส์ เมอร์เทนส์, เควิน เดอ บรอยน์ ไปจนถึงตัวสำรองอย่าง มิชี บาตชูอายี ดูทำให้เราเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นสามารถจะทำประตูได้ทุกเมื่อ
แนวรุกของ ‘อินทรีเหล็ก’ ที่ประกอบไปด้วย ติโม แวร์เนอร์, โธมัส มุลเลอร์, มาร์โค รอยส์ หรือ ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกในแบบเดียวกันในช่วงครึ่งแรกของเกมที่ฟิชต์ สเตเดียม ที่โซชิ
พวกเขาข่มขู่คุกคามได้ไม่เท่ากับที่ โอลา ตอยโวเนน, มาร์คัส เบิร์ก, เอมิล ฟอร์สเบิร์ก และนักเตะสวีเดนคนอื่นๆ ทำกับพวกเขาด้วยซ้ำ
มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าการประชุมเครียดระหว่างบุนเดสเทรนเนอร์อย่าง โยอาคิม เลิฟ, โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ผู้จัดการทีม และเหล่านักเตะทุกคนในทีมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่เยอรมนีประสบในฟุตบอลโลกหนนี้ได้ทันท่วงที
การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นที่ชายหาดใกล้แคมป์เก็บตัวในเมือง Vatutinki ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมอสโก ในระยะทางราว 25 ไมล์ โดยทุกคนในทีมชาติเยอรมนีตัดสินใจพูดคุยอย่าง ‘เปิดอก’ ระหว่างกันและกันแบบไม่มีคำว่าเกรงใจใดๆ
มันเป็นการประชุมที่ไม่เกิดขึ้นมานานแล้วกับเยอรมนี อย่างน้อยก็ในช่วงเวลา 9 ปีที่ มานูเอล นอยเออร์ รับใช้ Die Mannschaft
รายละเอียดของการประชุมนั้นแน่นอนว่าไม่เป็นที่เปิดเผยครับ มีแต่การบอกว่าเป็นการพูดคุยเพื่อให้ทุกอย่างนั้นดีขึ้นในเกมกับสวีเดน
ประเด็นนั้นไล่ไปตั้งแต่เรื่องที่เหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างแคมป์เก็บตัวของทีมชาติที่ เบียร์โฮฟฟ์ดูจะตัดสินใจพลาดที่เลือก Vatutinki ทั้งๆ ที่เมื่อปีกลายพวกเขาใช้โซชิเป็นฐานบัญชาการก่อนจะคว้าแชมป์ Confederations Cup รายการอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลก
ครั้งนี้ที่ Vatutinki นอยเออร์บอกว่า “อย่างน้อยผมก็มีน้ำให้อาบ” มันบ่งบอกอะไรบางอย่างพอสมควร
แน่นอนว่าเรื่องของผลงานในสนามเป็นประเด็นที่ย่อมมีการพูดคุยกัน แต่เป็นการพูดคุยกันภายในไม่มีใครล่วงรู้รายละเอียด
แต่ถึงจะไม่บอกคนวงนอกก็มีประเด็นคาใจ และเรียกร้องให้เลิฟดรอปนักเตะบางรายในทีมที่ไม่คู่ควรต่อโอกาสที่ได้รับเสีย หนึ่งในนั้นคือ ซามี เคดิรา ที่หมดสภาพอย่างสิ้นเชิงในเกมที่พ่ายเม็กซิโก
และอีกหนึ่งคือ เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์ที่เป็น ‘ลูกรัก’ ของเลิฟ หรือพูดในภาษาสุภาพขึ้นคือ นักเตะที่เลิฟไว้วางใจมากที่สุด
26 นัด คือจำนวนที่เลิฟใช้งานโอซิลในฐานะผู้เล่นตัวจริงต่อเนื่องในฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เพลย์เมกเกอร์จากทีมอาร์เซนอล ถูกตำนานทีมชาติเยอรมนีสับเละเป็นหมูบะช่อ เริ่มตั้งแต่ มาริโอ บาสเลอร์ อดีตตัวทำเกมอัจฉริยะในยุค 90s “ภาษากายของโอซิลมันเหมือนกับกบที่ตายแล้ว”
ขณะที่ โลธาร์ มัทเธอุส ตำนานผู้ผ่านการเล่นฟุตบอลโลกมาถึง 5 สมัย เล่นในประเด็นที่ลึกกว่านั้น เพราะเกี่ยวกับเรื่องของชาติพันธุ์ ซึ่งโอซิลมีเชื้อสายของชาวตุรกี “เวลาที่ผมดูโอซิลลงเล่นในสนาม มันเกิดความรู้สึกว่าเขาไม่สบายใจที่จะใส่เสื้อทีมชาติเยอรมนี มันเกือบจะถึงขั้นที่ว่าเขาไม่อยากจะลงเล่นด้วยซ้ำ เขาเล่นแบบคนไม่มีใจ ไร้ความสุข และไม่มีแรงปรารถนาใดๆ”
น่าสนใจตรงที่เมื่อมีการประกาศรายชื่อออกมา ไม่มีชื่อของโอซิลที่พลาดการเล่นตัวจริงเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับ เคดิรา และอีกคนคือ อิลคาย กุนโดกัน
โดยที่โอซิลกับกุนโดกัน นอกจากผลงานในสนามแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องที่พวกเขาเข้าพบ ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกีผู้อื้อฉาว เป็นชนักติดหลังที่สร้างความเดือดดาลให้แก่แฟนฟุตบอลไปจนถึงนักการเมืองชาวเยอรมันอีกด้วย
อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเวลาลงสนาม เราได้เห็นภาพที่ชัดกันมากขึ้นว่า ดูเหมือนปัญหาของเยอรมนีจะไม่ได้อยู่แค่ผู้เล่นเหล่านี้
รูปเกมเหมือนจะมีจังหวะจะโคนและรูปทรงที่ดีขึ้นกับนักเตะอย่าง เซบาสเตียน รูดี้, มาร์โค รอยส์ และแบ็กซ้ายคนสำคัญที่กลับมาอย่าง โจนาส เฮคเตอร์ แต่ปัญหาของพวกเขาก็ไม่แตกต่างจากเกมกับเม็กซิโก
เกมรุกไม่มีความเฉียบคมพอ เกมรับก็ดูบอบบางเหมือนนักมวยคางเปราะที่พร้อมจะโดนต่อยน็อกได้ตลอดเวลา
โอลา ตอยโวเนน ต่อยพวกเขาร่วงไปหนหนึ่งในช่วงครึ่งแรก เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 และมีอีกหลายครั้งที่สวีเดนฉวยจังหวะออกหมัดต่อยจนแชมป์โลกเจียนอยู่เจียนไปอยู่หลายรอบ
ไม่นับความผิดพลาดในการเล่นมีมากจนน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะจ่ายสั้น จ่ายขาด จ่ายพลาด เล่นกันเหมือนไม่ใช่เยอรมนีที่เคยรู้จัก
แต่ในเวลาที่เราคิดว่าพวกเขาไม่เหมือนเก่า เยอรมนีก็สามารถใช้เวลา 45 นาทีที่เหลือในเกมพิสูจน์ให้เราได้เห็นเหมือนเช่นทุกครั้งว่า พวกเขาคือคนเก่า คนเดิมที่พวกเรารู้จักนั่นแหละ
มันอาจจะกระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง ห่างไกลจากความเนี้ยบ ความเป็นระเบียบแบบที่พวกเขาเคยเป็นและทำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เยอรมนีเอากลับมาได้ก่อนคือความไม่อยากยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ
ในช่วงเริ่มครึ่งหลัง เลิฟตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ทันทีด้วยการส่ง มาริโอ โกเมซ มาแทน ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ โดยมีเป้าหมายคือการทวงประตูคืน ซึ่งแค่ไม่กี่นาที โกเมซ ก็มีส่วนกับการได้ประตูตีเสมอของรอยส์ ที่จุดความหวังให้ทีมขึ้นมา
หลังจากนั้นเยอรมนีก็พยายามอย่างไม่ลดละ ถึงจะเล่นผิดเล่นพลาด พวกเขาไม่สนใจก้มหน้าก้มตาเล่นเพียงอย่างเดียว
ขนาดเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนก็ไม่ยอมง่ายๆ และต่อให้พลาดโอกาสสักกี่ครั้งก็ไม่เคยท้อ บางทีมหากเจอลูกยิงแบบ ยูเลียน บรันดท์ ที่ไปชนเสาในช่วงท้ายเกมก็อาจจะถอดใจไปแล้ว แต่มันไม่ใช่สำหรับทีมแชมป์โลก 4 สมัย
นี่คือหัวจิตหัวใจแบบชาวเยอรมันแท้ๆ ครับ
ท้ายที่สุด เยอรมนีก็ทำในสิ่งที่อาจจะไม่มีใคร เชื่อแต่พวกเขาเชื่อกับประตูมหัศจรรย์ของ โทนี โครส ผู้ยิงประตูที่มีแต่นักเตะระดับโลกเท่านั้นที่ทำได้ในสถานการณ์แบบนั้น
ชัยชนะและ 3 คะแนนนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้ารอบ แต่อย่างน้อยที่สุดก็รักษาความหวังเอาไว้ได้ เช่นกันกับการได้สติและนึกออกอีกครั้งว่าพวกเขาเคยเป็นมาอย่างไร
และนั่นคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคู่แข่งทุกทีม