×

‘สคูเด็ตโต’ ที่ 3 ในรอบ 33 ปีของนาโปลี บันทึกความฝันที่ไม่มีวันหมดอายุ

05.05.2023
  • LOADING...
นาโปลี

1.

การเจรจาเกิดขึ้นในปี 2004 ณ สถานที่แห่งหนึ่งในคาปรี เมืองบนเกาะที่มีทิวทัศน์งดงามดุจสวรรค์ทั้งชายหาดสีขาว น้ำทะเลสีคราม และหน้าผาสูงชัน

           

สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการเจรจาว่าความกันอย่างลับๆ ซึ่งความจริงแล้วความลับนี้น่าจะเป็นของ ออเรลิโอ เดอ ลอเรนติส เพียงคนเดียว

           

อันที่จริงเดอ ลอเรนติส ผู้เกิดในนครอันเป็นนิรันดร์ไม่ควรจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เขาควรจะเตรียมตัวสำหรับการเดินบนพรมแดงในงานพรีเมียร์ภาพยนตร์เรื่อง World of Tomorrow ซึ่งมีซูเปอร์สตาร์อย่าง แองเจลินา โจลี, จู๊ด ลอว์ และ กวินเน็ธ พัลโทรว์ มากกว่า

           

แต่เดอ ลอเรนติสเลือกใช้วันและเวลาเท่าที่มีในการแอบภรรยาแจ็คเคอลีนและลูกๆ ของเขาเพื่อพูดคุยกันในเรื่องโปรเจกต์ฟุตบอล

           

โปรเจกต์ดังกล่าวไม่ใช่การสร้างภาพยนตร์เกมลูกหนัง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตัวเขาและครอบครัวผู้เป็นเจ้าของค่ายหนัง Filmauro Studio

           

สิ่งที่เขากำลังจะทำคือการซื้อสโมสรฟุตบอลนาโปลี ที่กำลังตกยากหล่นไปถึงในระดับเซเรีย ซี (Serie C – ลีกลำดับที่ 3 ของอิตาลี) สถานะการเงินของพวกเขาเลวร้ายถึงขั้นล้มละลายไปแล้วด้วยซ้ำ

           

และนั่นคือเหตุผลที่เดอ ลอเรนติสยื่นมือเข้ามา

 

 

ความตกต่ำของนาโปลี คือบาดแผลของชายที่ถูกปลูกฝังความรักที่มีต่อทีมนี้มาจากพ่อ และเห็นยุคสมัยความรุ่งโรจน์ของทีมในวันที่นักเตะร่างเล็กนิดเดียวแต่มีพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาให้อย่างยิ่งใหญ่ ดีเอโก อาร์มันโด มาราโดนา นำสโมสรฟุตบอลในเมืองที่ไม่เคยสัมผัสหรือคิดฝันถึงความสำเร็จนี้คว้า ‘สคูเด็ตโต’ หรือแชมป์ฟุตบอลอิตาลีได้

           

ไม่ใช่แค่สมัยเดียวแต่เป็นถึง 2 สมัย ในยุคที่กัลโช เซเรีย อา ยิ่งใหญ่เกรียงไกรด้วยทีมอย่างเอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน และยูเวนตุส

           

การเห็นทีมรักตกต่ำจึงเป็นสิ่งที่เขาทำใจได้ลำบาก และความจริงเขาก็เคยพยายามขอซื้อนาโปลีมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 1999 ซึ่งเป็นปีแรกที่พวกเขาหล่นจากเซเรีย อา ไปอยู่เซเรีย บี แต่การเจรจาครั้งนั้นไม่สำเร็จ

           

คราวนี้ความพยายามครั้งที่ 2 ของเดอ ลอเรนติสสำเร็จ แม้จะติดขัดนิดหน่อยตรงที่คาปรีไม่มีทนายความที่จะจัดการเรื่องเอกสารได้เลย

           

เช่นนั้นเขาจึงต้องจับเรือจากคาปรีเพื่อไปเนเปิลส์ ที่ซึ่งมีทนายความจัดการอำนวยความสะดวกเรื่องเอกสารให้อย่างพร้อมสรรพ

           

“เซ็นตรงนี้ใช่ไหม?”​ เดอ ลอเรนติสถาม

           

เขาเซ็นชื่อลงไป ก่อนจะได้กระดาษปึกหนึ่งที่มีมูลค่า 32 ล้านยูโร และนาโปลีได้เจ้าของใหม่แล้ว

           

เดอ ลอเรนติส ซื้อเสื้อนาโปลีจากร้านแห่งหนึ่งที่หัวมุมถนนก่อนจะเดินทางไปยังแปสตัม (Paestum) ที่มีสนามซ้อมอริสตัน (Ariston) ซึ่งเป็นสนามซ้อมดั้งเดิมของนาโปลีที่อยู่ใกล้กับเมืองซอคคาโว

           

สภาพสนามซ้อมนั้นเหมือนสนามร้าง

           

เดอ ลอเรนติสคิดในใจ “ผมเป็นคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตอนมัธยมฯ ผมก็เล่นบาสเกตบอล ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลย” แต่ในเกมฟุตบอลมีสิ่งที่สำคัญกว่าความรู้

           

สิ่งนั้นเรียกว่าหัวใจ

 

 

2.

ฤดูกาลแรกของเดอ ลอเรนติสในฐานะประธานสโมสรนาโปลี ที่ไม่สามารถใช้ชื่อดั้งเดิมของตัวเองได้เพราะล้มละลาย และต้องใช้ชื่อสโมสรว่า ‘นาโปลี ซอคเกอร์’ จบลงด้วยความผิดหวัง

           

นาโปลีแพ้ต่ออาเวลลิโนในเกมเพลย์ออฟ พวกเขาพลาดโอกาสในการกลับคืนสู่เซเรีย บี

           

แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทีม ‘อัซซูรี’ (Azzurri) ถอดใจ ในทางตรงกันข้ามพวกเขาค่อยๆ พาตัวเองกลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

           

ในปี 2006 นาโปลีทำได้สำเร็จ พวกเขาเลื่อนชั้นกลับสู่เซเรีย บีได้เป็นขั้นแรก พร้อมกับที่เดอ ลอเรนติสนำชื่อเดิมของสโมสร ‘Società Sportiva Calcio Napoli’ (SSC Napoli) กลับมาอีกครั้ง

           

ก่อนที่ทีมจะหวนกลับสู่เซเรีย อาได้สำเร็จอีกครั้งในฤดูกาลถัดมา

           

นาโปลีที่เป็นเหมือนนกฟีนิกซ์ซึ่งคืนชีพจากเถ้าถ่านค่อยๆ กลับมาสร้างชื่อเสียงในฐานะทีมฟุตบอลชั้นนำของอิตาลี ภายใต้การนำของ วอลเตอร์ มาซซาร์รี พวกเขาพิชิตอันดับ 6 ในฤดูกาล 2009/10 ได้กลับไปเล่นรายการสโมสรฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกนับจากวันที่มาราโดนาเคยพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพเมื่อปี 1989

           

และจากนั้นคือการคว้าอันดับ 3 ในฤดูกาลถัดมา ได้ไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง ก่อนที่เกือบจะไปถึงสคูเด็ตโตในฤดูกาล 2011/12 แต่สุดท้ายได้อันดับที่ 2 ซึ่งในฤดูกาลนั้น เอดินสัน คาวานี ซูเปอร์สตาร์กองหน้าของทีมยิงไปถึง 29 ประตู ก่อนจะโดนปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซื้อตัวไปร่วมทีม

           

แต่คาวานีไม่ได้เป็นแค่ฮีโร่คนเดียว เพราะนาโปลีในยุคเรเนสซองส์ยังมีนักเตะอีกมากมายที่แฟนบอลชื่นชม

           

ไม่ว่าจะเป็น มาเร็ค ฮัมซิค, เอเซเกล ลาเวซซี ไปจนถึงสายเลือดของชาวเมืองอย่างลอเรนโซ อินซิเญ, กอนซาโล อิกวาอิน และชาวต่างชาติที่กลายเป็นลูกรักของชาวเมืองอย่าง ดรีส เมอร์เทนส์

           

สิ่งที่น่าเศร้าคือต่อให้นาโปลีจะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแค่ไหน พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะยูเวนตุสที่ทั้งเก่ง แกร่ง และมีประสบการณ์เหนือกว่าได้

           

โดยเฉพาะในฤดูกาลที่ถือว่าใกล้เคียงที่สุดอย่าง 2017/18 ภายใต้การนำของ เมาริซิโอ ซาร์รี ที่เก็บได้ถึง 91 คะแนนแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคว้าสคูเด็ตโตได้เพราะยูเวนตุสทำได้ดีกว่า

           

ความผิดหวังในครั้งนั้นทำให้ทุกคนเริ่มคิด

           

ถ้านาโปลีชุดนี้ทำไม่สำเร็จก็อาจจะไม่มีทีมชุดไหนทำได้สำเร็จอีกแล้ว

           

“ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลจะมีทีมฟุตบอลที่เป็นเหมือนคำนิยามแห่งยุคสมัย” ซาร์รีกล่าวไว้ในครั้งนั้น “ทุกคนจดจำฮอลแลนด์ในยุค 1970 ที่ไม่เคยได้แชมป์โลกได้ และผมก็มั่นใจว่าผู้คนจะจดจำนาโปลีชุดนี้ได้ในอีก 20 ปีข้างหน้าเช่นกัน”

           

เป็นคำปลอบโยนที่เหมือนจะไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยในเวลานั้น

 

 

3.

ในอดีตวงการฟุตบอลอิตาลีเคยมีสงครามทางวัฒนธรรมลูกหนังที่ดุเดือดไม่น้อย

           

ฟุตบอลแดนเหนือกับฟุตบอลแดนใต้ใครจะเจ๋งกว่ากัน?

           

เรื่องนี้หากเราตัดสินด้วยสไตล์การเล่นแล้ว บอลแดนใต้ – ซึ่งรวมถึงนาโปลี – ก็น่าจะเป็นผู้ชนะด้วยลีลาการเล่นที่สวยกว่าสง่างาม แต่เมื่อฟุตบอลตัดสินกันที่จำนวนถ้วยแชมป์แล้วบอลแดนเหนืออย่าง 2 ทีมแห่งเมืองมิลานที่ใช้สไตล์การเล่นแบบ ‘คาเตนัคโช’ (Catenaccio) เล่นแบบตีหัวเข้าบ้านประสบความสำเร็จสูงกว่ามาก

           

บอลสวยงามแบบนาโปลีจึงเป็นได้เพียงแค่ ‘ผู้แพ้ที่งดงาม’

           

และนั่นทำให้การคว้าสคูเด็ตโต 2 สมัยภายใต้การนำของมาราโดนาและยอดขุนพลข้างกายอย่าง บรูโน จิออร์ดาโน และ กาเรกา ที่ได้รับการจดจำในนาม ‘Ma-Gi-Ca’ หรือ ‘เวทมนตร์’ จึงเป็นความสำเร็จที่มหัศจรรย์

           

มาราโดนาจึงเป็นพระเจ้าของชาวเนเปิลส์นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และจะเป็นตลอดไป

           

อย่างไรก็ดี เดอ ลอเรนติสก็ยังหวังว่าเขาจะพานาโปลีกลับคืนสู่ความสำเร็จได้อีกครั้งอยู่ดี และโชคดีที่ ลูเซียโน สปัลเล็ตติ กำลังว่างงานพอดี

           

สปัลเล็ตติเองก็เป็นคนที่ทำได้เพียงแค่ ‘เกือบ’ เหมือนกัน เขาสร้างชื่อด้วยการนำโรมาเกือบคว้าสคูเด็ตโตได้ในฤดูกาล 2007/08 โดยในวันสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขาได้จับถ้วยแชมป์ไปแล้วเป็นเวลาร่วมชั่วโมง ก่อนที่สุดท้ายอินเตอร์ มิลานจะปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครองได้

           

อีก 9 ปีต่อมาสปัลเล็ตติเคยเกือบทำได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากนาโปลีที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันในฤดูกาลหลังจากนั้น โรมาที่ทำได้ถึง 87 คะแนนในฤดูกาล 2016/17 ก็จบเพียงแค่อันดับสอง

 

 

ในเดือนมกราคม 2021 นาโปลีใต้การนำของ เจนนาโร กัตตูโซ กำลังย่ำแย่ เดอ ลอเรนติสจึงได้ทำการติดต่อไปหาสปัลเล็ตติ ซึ่งเพิ่งถูกอินเตอร์ มิลานปลดจากตำแหน่ง เพราะ เบ็ปเป มาร็อตตา ผู้บริหารคนใหม่ไม่เชื่อมือว่าเขาจะพาทีมคว้าสคูเด็ตโตได้ สปัลเล็ตติจึงตกงานในช่วงเวลาเดียวกับที่น้องชายของเขามาร์เซโลเพิ่งจะจากไป

 

เมื่อได้รับการติดต่อ สปัลเล็ตติรีบออกเดินทางจากไร่ของเขาในทัสคานี ที่ซึ่งเขาใช้ผลิตไวน์ ขี่ม้า และให้อาหารเป็ดเพื่อไปทำการเจรจากับนาโปลี

           

“งานของนายก็คือ ทำให้บัญชีการเงินของสโมสรกลับมาสมดุล สร้างทีมชุดใหม่ และพาทีมกลับไปแชมเปียนส์ลีกให้ได้ภายในระยะเวลา 2 ปี” สโคปการทำงานที่เดอ ลอเรนติสระบุไว้ พร้อมกับเงื่อนไขพิเศษ

           

“ทั้งหมดนี้นายจะต้องทำให้ทีมเล่นได้อย่างสวยงาม และสร้างความต้องการในตัวผู้เล่นของเรา เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครสนใจพวกเขาเลยจากผลงานที่เกิดขึ้น”

           

สุดท้ายเมื่อกัตตูโซทำพลาด นาโปลีแพ้ต่อเวโรนาในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล จนทำให้หมดหวังในการจะไปแชมเปียนส์ลีก ก็ถึงเวลาของสปัลเล็ตติที่จะรับงานต่อ

           

“ทำให้แฟนๆ กลับมาหลงรักนาโปลีอีกครั้ง” สปัลเล็ตติกล่าวในการเปิดตัวของเขาใต้ปรัชญาการเล่นที่สะท้อนตัวตนของชาวเมือง

           

‘Sfacciata’ และ ‘Scugnizzo’

           

เหล่านักสู้ 11 คนในสนามที่มีศิลปะลูกหนังในหัวใจ

 

 

4.

“คุณช่วยผมหน่อย” สปัลเล็ตติร้องขอต่อ Kitman เจ้าหน้าที่ที่ดูแลชุดแข่งและชุดซ้อมของสโมสร

 

“ผมอยากให้มีเนื้อเพลงนี้ พิมพ์ลงบนหลังเสื้อซ้อมของเรา”

           

เนื้อเพลงดังกล่าวไม่ได้เป็นเพลงฮิตติดชาร์ตจากไหน แต่เป็นเพลงที่สปัลเล็ตติเคยได้ยินแฟนนาโปลีร้องที่อัฒจันทร์ฝั่งใต้ (Curva) ที่สนามดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา หรือสนามซาน เปาโลเดิมที่เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าลูกหนังผู้จากไปในปี 2020

           

เพลงบอกไว้ว่า

           

“Saró con te / Non devi mollare / Abbiamo un sogno nel cuore / Che Napoli torna campione”

           

“ฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อเธอ ขอจงอย่ายอมแพ้ พวกเรามีความฝันในหัวใจ ว่าสักวันนาโปลีจะกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง”

           

นาโปลีของสปัลเล็ตติยังทำไม่ได้ในฤดูกาลแรกที่แม้จะมองเห็นถึงความหวังด้วยการชนะรวด 8 นัดแรกของฤดูกาล แต่ทุกอย่างพังทลายเมื่อเจอกับแชมป์เก่าอย่างอินเตอร์ มิลาน ที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้

           

วิคเตอร์ โอซิมเฮน กองหน้าชาวไนจีเรียที่เป็นสถิติของสโมสรถึง 75 ล้านยูโรได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกระดูกเบ้าตาแตกจากศอกของ มิลาน สคริเนียร์ ในระหว่างเกมจนต้องพักการเล่นนานหลายเดือน

           

รายการแอฟริกาคัพออฟเนชันส์ ทำให้ทีมต้องเสีย คาลิดู คูลิบาลี และ อังเดร-แฟรงก์ แซมโบ แองกิสซา ไปตลอดทั้งเดือนมกราคม 2022 (และทำให้เดอ ลอเรนติสไม่คิดจะหานักเตะแอฟริกันอีกนอกจากนักเตะคนนั้นจะให้สัญญาว่าจะไม่เล่นรายการนี้อีก)

 

นาโปลียังเจอกับข่าวการย้ายทีมของสายเลือดผู้เป็นตำนานอย่างอินซิเญ ที่ชูเสื้อโทรอนโต เอฟซี ก่อนหน้าเกมสำคัญกับยูเวนตุสแค่ 2 วัน ขณะที่ เมอร์เทนส์ นักเตะขวัญใจแฟนบอลชาวเนเปิลส์ก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อสโมสรตัดสินใจที่จะไม่ใช้เงื่อนไขในการขยายสัญญากับเขา ทั้งๆ ที่เขายอมลดค่าเหนื่อยเพื่อที่จะได้อยู่กับทีมต่อไป

           

จากการเริ่มต้นฤดูกาลได้เหมือนฝัน นาโปลีหมดหวังสคูเด็ตโตตั้งแต่เดือนมีนาคม ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร

           

ดาวิด ออสปินา, เฟาซี กูลาม, ฟาเบียน รุยซ์, คูลิบาลี, ลอเรนโซ ‘อิล แม็คนิฟิโต’ อินซิเญ และเมอร์เทนส์ ผู้ตั้งชื่อลูกชายว่า ชิโร ที่แสดงถึงความผูกพันกับชาว Neapolitan ไปจากสโมสรทั้งหมด

           

โดยที่ทีมซื้อนักเตะใหม่เข้ามาหลายราย ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน

           

คิมมินแจ เซ็นเตอร์แบ็กจากเฟเนร์บาห์เชว่าหนักแล้ว

           

ควิชา ควารัตสเคเลีย ปีกจากดินาโม บาตูมีคือใครก่อน?

           

“นักเตะจอร์เจียกับเกาหลีใต้ มันฟังดูเหมือนเรากำลังจะเริ่มเล่าเรื่องตลกเลยว่าไหม?” เดอ ลอเรนติสบอก

 

 

5.

เรื่องตลกที่แท้จริงคือ คิมมินแจ กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักเกมรับของทีมที่เป็นฐานรากของความสำเร็จในฤดูกาลนี้

           

และความมหัศจรรย์ใดๆ ทั้งปวงเกิดขึ้นได้เพราะการจุดประกายจาก ควิชา ควารัตสเคเลีย พ่อมดลูกหนังชาวจอร์เจียที่กลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรในรอบเกือบ 40 ปี

           

ควารัตสเคเลีย ผนึกกำลังเข้ากับโอซิมเฮนได้อย่างลงตัว กลายเป็นคู่หูนรกสำหรับทีมคู่แข่ง ซึ่งหนึ่งในทีมที่เจอฝันร้ายคือลิเวอร์พูล รองแชมป์เก่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลที่แล้วที่ถูกทั้งสองไล่ต้อนอย่างเมามัน และกลายเป็นหนึ่งในเกมที่สร้างความมั่นใจให้แก่นาโปลี

           

‘ควิชา’ กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของชาวเมือง และได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดด้วยสมญา ‘ควาราโดนา’ เพราะลีลาการเล่นสุดมหัศจรรย์ของเขา โดยเฉพาะการลากเลื้อยพาบอลไปกับตัวที่แม้จะไม่ได้เหมือนกับเทพเจ้าลูกหนังคนเก่า แต่ก็ยอดเยี่ยมพอที่จะทำให้แฟนบอลพร้อมจ่ายเงินเพื่อเข้ามาดูเขาเล่นในสนาม

 

โอซิมเฮนเป็นเหมือนอสุรกายที่เกิดมาเพื่อล่าตาข่าย รูปร่างสูงใหญ่มาพร้อมกับความปราดเปรียว และทักษะการเล่นที่ยอดเยี่ยม บางทีหากจะมีคนสู้กับ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ได้อย่างสูสี ก็อาจจะเหลือแค่กองหน้าไนจีเรียคนนี้เท่านั้น

           

แต่นาโปลีไม่ได้มีแค่สองคนนี้

           

สปัลเล็ตติยังได้ อเล็กซ์ เมเร็ต มาเฝ้าเสาให้ ซึ่งแม้จะออกบอลได้ไม่ดีเท่าออสปินา แต่หน้าที่ในการปั้นเกมจากแดนหลังเป็นของกองหลังแบ็กโฟร์โดยเฉพาะ มาริโอ รุย ที่เป็นเหมือนผู้เล่น ‘หมายเลข 10’ ที่มายืนตำแหน่งแบ็กซ้าย

           

สตานิสลาฟ โลบอตกา เจ้าจิ๋วจากสโลวาเกียคือ ‘อิเนียสตา’ ในความเห็นของสปัลเล็ตติ

           

และพวกเขายังมีกำลังสำรองอย่าง โจวานนี ซิเมโอเน รวมถึง จาโคโม ราสปาโดรี ที่พร้อมสับเปลี่ยนลงมาช่วยทีมด้วย

           

นักฟุตบอลเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างนาโปลีชุดที่ทำได้แค่ ‘เกือบ’ กับชุดที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความจริง เพราะพวกเขาคือสายเลือดใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง ความสดชื่น ดังจะเห็นได้จากภาพสะท้อนในการเล่นของนาโปลีตลอดทั้งฤดูกาล

           

ที่สำคัญคือสปัลเล็ตติเติมความเด็ดขาดเข้าไปในทีม นาโปลีเป็นเหมือนรถแข่งที่กดคันเร่งแล้วจะไม่ยอมเหยียบเบรกเป็นอันขาด และนั่นทำให้พวกเขาโกยแต้มทิ้งห่างคู่แข่งตั้งแต่ต้นฤดูกาล และไม่คิดที่จะยอมให้ใครขยับเข้ามาใกล้ได้เลย

           

เพราะเมื่อรู้ว่าถ้าโดนกดดันแล้วใจสั่น ทางที่ดีที่สุดคือการไม่ทำให้ทีมต้องใจสั่นอีก

           

ระยะห่าง 18 แต้มทำให้ชาวนาโปลีรู้ดีว่าความฝันที่เหมือนอยู่ในดินแดนอันเป็นนิรันดร์ที่คนเป็นไม่อาจไปถึงได้กำลังจะกลายเป็นความจริง

           

อาจจะน่าเสียดายอยู่บ้างที่การฉลองใหญ่ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องถูกเลื่อนออกไปก่อน เมื่อซาแลร์นิตานาไม่ยอมให้งานปาร์ตี้เริ่มง่ายๆ

 

 

แต่สุดท้ายเมื่อโอซิมเฮนตีเสมอได้ในเกมเมื่อคืนนี้กับอูดิเนเซ

           

การเฉลิมฉลองที่ยาวนานในเมืองเนเปิลส์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

           

33 ปีที่รอคอย จากยุคสมัยของเทพเจ้า วันนี้นาโปลีทำความฝันสีฟ้าให้กลายเป็นความจริงได้ในที่สุด

           

สปัลเล็ตติ ผู้ที่จะได้รับการจารึกเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของเมืองกล่าวด้วยน้ำตาถึงน้องผู้จากไป

           

“แชมป์นี้เพื่อนายนะ มาร์เซโล”

           

และสำหรับมาราโดนา “คุณเฝ้าดูและยื่นมือมาช่วยพวกเราใช่ไหม”

           

ไม่มีคำตอบจากบนฟ้า หรือต่อให้มีมาก็ไม่มีใครได้ยิน

           

เสียงพลุ เสียงเพลง และเสียงกู่ร้องของชาวนาโปลีตันดังกระหึ่มไปทั้งเมืองโดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising