วันนี้ (13 กรกฎาคม) ที่รัฐสภา การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวอภิปราย ระบุว่า
ประเด็นที่ตนและ ส.ว. ส่วนใหญ่ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวนไม่น้อยติดใจ คือประเด็นในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งการที่ตนพูดถึงการแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ เป็นการพูดถึงการแก้ไขตามแนวทางของพรรคก้าวไกลที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และเป็นนโยบายที่มีฐานมาจากร่างพระราชบัญญัติที่เคยเสนอต่อสภาเมื่อปี 2564
อันที่จริงตนค่อนข้างจะสบายใจที่เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม หลังการเลือกตั้ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมีการลงชื่อข้อตกลงร่วมกัน วันดังกล่าวพรรคร่วมมีกรอบแนวทางที่จะทำงานร่วมกัน 23 หัวข้อ แต่ในตอนขึ้นต้นระบุไว้ว่า ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่า ทุกพรรคที่จะกระทำนั้นต้องไม่กระทบรูปแบบของรัฐ การปกครองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์
ในแนวทางการทำงานที่ระบุไว้ 5 ข้อ ในท้ายข้อตกลงระบุไว้ชัดเจนว่า ทุกพรรคสามารถผลักดันนโยบายของตัวเองผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคตัวเองได้ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในกรอบ 23 ประการ แต่มีส่วนหนึ่งระบุไว้ว่าต้องไม่ขัดแย้งกับข้อตกลงที่ระบุไว้ในข้อตกลงร่วมกันฉบับดังกล่าว
คำนูณกล่าวต่อว่า ตนได้ติดตามการตอบคำถามของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่ตอบคำถามต่อสื่อมวลชนถึงการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ว่า พรรคก้าวไกลจะผลักดันการแก้ไขมาตราดังกล่าวต่อไป ซึ่งตนมองว่าเป็นวินาทีที่ย้อนแย้งทางประวัติศาสตร์
จากนั้นก็ระบุว่าจะไม่มีการเสนอเรื่องดังกล่าวในนามคณะรัฐมนตรี นั่นหมายความว่าเป็นรัฐบาลก็เสนอในนามพรรคการเมือง ส.ส. เป็นฝ่ายค้านก็เสนอในนาม ส.ส. ฉะนั้นตนจึงรับไม่ได้ในประเด็นดังกล่าว
ร่างของพรรคก้าวไกลที่เสนอเมื่อปี 2564 ไม่ได้รับการบรรจุเข้าระเบียบวาระ เพราะท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 มีการอ้างตามความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ร่างที่เสนอมานั้นอาจจะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6
ทั้งนี้ อย่าถามว่าร่างนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 หรือไม่ ตราบใดที่องค์กรผู้มีหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดคือศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด แต่ตนเชื่อว่าใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว
มาตรา 6 ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติเอาไว้ตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ก่อนจำความได้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะฟ้องร้องในทางใดๆ ไม่ได้ หมายถึงการคุ้มครองเด็ดขาด ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถแยกออกจากรัฐในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กว่า 90 ปีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อย่างนี้ 67 ปีประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้อย่างนี้ แต่สิ่งที่จะแก้ไขตามแนวทางของพรรคก้าวไกลนั้นเป็นการลดระดับการคุ้มครองฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
คำนูณกล่าวต่อว่า ร่างแก้ไขมาตรา 112 หรือข้อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกระทบสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น
นี่ถือเป็นก้อนแรกของการแก้ไขแนวนี้ ก้อนต่อมาที่ใหญ่พอๆ กันคือการนำองค์พระมหากษัตริย์ลงมาเปรียบเทียบกับบุคคลทั่วไปในสังคม และท่านลดโทษของการละเมิดพระมหากษัตริย์ลงมาต่ำมาก
เมื่อลดบุคคลที่มีสถานะสูงลงมาต่ำขนาดนี้ ท่านมีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดโทษบุคคลในสังคมทุกระดับลงไป ทั้งประมุขของรัฐต่างประเทศ ผู้แทนรัฐต่างประเทศ และที่สำคัญในประเทศไทย เจ้าพนักงานที่กระทำการภายใต้รัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย ใครหมิ่นประมาทมีแค่โทษปรับ
คำนูณกล่าวต่อว่า สังคมใหม่ที่ท่านกำลังจะสร้างตามแนวทางนี้คืออะไร ท่านคิดดีแล้วหรือ ฉะนั้นนี่จึงเป็นภาพรวมที่ตนไม่อาจเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล
ที่ผ่านมาที่พรรคการเมืองของท่านพยายามพูดชี้แจง ตนรับฟังมาตลอดถึงความคิดเห็นที่แตกต่าง สมาชิกวุฒิสภาบางท่านได้พูดคุยว่าเราเห็นตรงกัน แต่การแก้มาตรา 112 อีกยาวไกล ถ้าเสนอเข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่
คำนูณกล่าวว่า ท่านแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่กระผมเคารพ ผมเห็นแววของท่านมา 4 ปี ท่านพูดคำที่ดีมากว่าท่านมีความเป็นผู้นำ ท่านสันทัดในการรุกได้ ถอยเป็น ตลอดระยะเวลา 2 เดือนหรือมากกว่านี้ คนอย่างพวกผมพูดมาตลอดว่า เรื่องแก้ไขมาตรา 112 เว้นได้ไหม ถอยได้ไหม ท่านให้สัมภาษณ์มาตลอดว่าไม่ถอย ตนเข้าใจ และเคารพว่าท่านและพรรคของท่านเชื่อมั่นในแนวทางแก้ปัญหาแนวทางนี้
แต่ก็ขอให้ท่านเคารพและเชื่อมั่นในความคิด ในความเชื่อ ในอุดมการณ์ของกระผมและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งด้วย
