×

ถอดรหัส 13 Reasons Why ซีซัน 2 สังคมจะได้อะไรจากซีรีส์เรื่องนี้

16.05.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • 13 Reasons Why ซีซันนี้เล่าถึงเหตุการณ์และสภาพจิตใจของผู้คน หลังการฆ่าตัวตายของนางเอก ฮันนาห์ เบเกอร์ ในซีซันแรก ซึ่งคุณแม่ของเธอ โอลิเวีย เบเกอร์ ได้ตัดสินใจฟ้องร้องลิเบอร์ตี้ไฮสคูล ข้อหาปล่อยให้ลูกสาวโดนรังแก
  • ภาคนี้สำรวจลึกลงไปถึงก้นบึ้งของอารมณ์ตัวละครที่มาพร้อมความซับซ้อนและแปรปรวนตามประสาของมนุษย์ ซึ่งแต่ละครั้งที่ตัวละครให้ปากคำในศาล ทุกคนล้วนมาในอารมณ์ที่ต่างกัน
  • อิทธิพลอันมหาศาลของเรื่องนี้ถึงขั้นมีการรายงานว่าบางหน่วยงานและโรงเรียนได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจาก 13 Reasons Why ทางซีรีส์เองจัดตั้งเว็บไซต์ 13reasonswhy.info โดยในหน้าแรกมีรายชื่อหน่วยงานช่วยเหลือในกว่า 50 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

 

 

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหา

 

มนุษย์เราไม่ว่าจะมีฐานะ ชนชั้น รสนิยมทางเพศ หน้าที่การงาน หรือศาสนาใด สิ่งหนึ่งที่ต้องเจอกันทุกคนคือเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องกลับไปคิด อาจโทษตัวเองว่าทำไมถึงตัดสินใจทำอะไรกับใครสักคน และสิ่งนั้นอาจพลิกชีวิตของคนคนนั้นไม่มากก็น้อย

 

ในนาทีนั้นที่เราทำอะไรลงไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การหยอกล้อ หัวเราะ มองด้วยสายตา หรือถึงขั้นใช้กำลัง ก็ถือว่ายากมากสำหรับมนุษย์เราที่จะควบคุมตัวเอง เพราะสิ่งที่ทำลงไปเกิดจากอารมณ์ที่ไม่ได้ไตร่ตรอง มาจากสภาวะความกดดัน หรือเลวร้ายที่สุดคือภัยของเทคโนโลยีที่เราเสพติดอยู่ตลอดเวลาจนได้ผลลัพธ์คือเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วจะแก้ไขมันอย่างไร เราจะเอาตัวเองให้รอดก่อนไหม หรือเราจะอยู่บนพื้นฐานความจริง สิ่งเหล่านี้คือแก่นสำคัญของซีรีส์ 13 Reasons Why ซีซัน 2

 

13 Reasons Why ซีซัน 2 เล่าถึงเหตุการณ์และสภาพจิตใจของผู้คนหลังการฆ่าตัวตายของนางเอก ฮันนาห์ เบเกอร์ (รับบทโดย แคทเธอรีน แลงฟอร์ด) ในซีซันแรก ซึ่งคุณแม่ของเธอ โอลิเวีย เบเกอร์ (รับบทโดย เคต วอลช์) ได้ตัดสินใจฟ้องร้องลิเบอร์ตี้ไฮสคูล ข้อหาปล่อยให้ลูกสาวโดนรังแก และส่งผลต่อจิตใจจนทำให้เธอตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง

 

 

ในแต่ละตอนจะมีตัวละครมาให้ปากคำในชั้นศาล (ตัวละครเหล่านี้ล้วนอยู่ในเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์พูดถึงในซีซันแรก) ส่วนทนายของฝ่ายโรงเรียนเองก็จะพยายามโต้กลับว่าเหตุการณ์การรังแกเกิดขึ้นนอกรั้วโรงเรียน และเป็นเพราะการตัดสินใจของฮันนาห์เองที่ทำให้เธอพบเจอปัญหาต่างๆ แต่จุดหักมุมก็เกิดขึ้นหลังจากพระเอก เคลย์ เจนเซน (รับบทโดย ดีแลน มินเนตต์) ตัดสินใจปล่อยเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์ได้อัดไว้สู่สาธารณะเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งก็พลิกรูปแบบคดีและทำให้ทุกอย่างเข้มข้นขึ้น

 

แม้ซีซัน 2 จะเป็นการเขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ภายใต้มุมมองของผู้สร้าง ไบรอัน ยอร์คีย์ ที่เคยชนะรางวัลพูลิตเซอร์จากบทละคร Next to Normal โดยไม่ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือของผู้ประพันธ์ เจย์ แอชเชอร์ เหมือนซีซันแรก แต่สิ่งที่ 13 Reasons Why ในภาคนี้ยังคงสำรวจลึกไปถึงก้นบึ้งของอารมณ์ตัวละครที่มาพร้อมความซับซ้อนและแปรปรวนตามประสามนุษย์ เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละครั้งที่ตัวละครให้ปากคำในศาล ทุกคนล้วนมาในอารมณ์ที่ต่างกัน บางคนทลายกำแพงตัวเองและพูดทุกอย่างออกมา บางคนเลือกที่จะช่วยบุคคลที่ไม่ควรปกป้อง บางคนพูดตามสคริปต์ที่ทนายบอก หรือบางคนยังไม่กล้าพูดความจริงเพราะถูกหลอกหลอนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

 

 

ประเด็นที่น่าสนใจของ 13 Reasons Why ซีซัน 2 คือซีรีส์ถูกฉายในช่วงเวลาที่เรื่องราวการล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืน และจุดยืนของผู้หญิงกำลังเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในสังคม ซึ่งจะบอกว่าผู้สร้างและ Netflix ไม่อยากจะเป็นกระจกสะท้อนประเด็นนี้ก็คงไม่ใช่ เพราะด้วยอิทธิพลอันมหาศาลของเรื่องนี้ที่ถึงขั้นมีการรายงานว่าบางหน่วยงานและโรงเรียนได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากเรื่องนี้ 13 Reasons Why จึงเลือกจะปรับตัวเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมบทสนทนาในหลายตอนเหมือนถูกเขียนขึ้นเพื่อสื่อสารกับคนดูทางบ้าน และทำให้คนในสภาพอารมณ์ที่เปราะบางไม่รู้สึกว่าหมดหนทาง แถมทางซีรีส์เองก็จัดตั้งเว็บไซต์ 13reasonswhy.info ที่เมื่อเข้าไปแล้วจะมีรายชื่อหน่วยงานช่วยเหลือในกว่า 50 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย

 

ถ้าให้ตีความลงไปอีก 13 Reasons Why ซีซัน 2 ได้ถ่ายทำในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่วงการฮอลลีวูดถูกสั่นคลอนกับการเปิดโปงประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศของโปรดิวเซอร์หนังมือทองอย่าง ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ซึ่งตัวละคร ไบรซ์ วอล์กเกอร์ (รับบทโดย จัสติน เพรนทิส) ที่มีการข่มขืน เจสสิก้า เดวิส (รับบทโดย อลิชา โบ) และฮันนาห์ ในซีซันแรกเหมือนถูกปรุงแต่งและเนรมิตในซีซันนี้ให้จัดจ้านขึ้นและให้คนเห็นถึงความคล้ายคลึงกัน

 

โดยลักษณะของไบรซ์กับฮาร์วีย์เหมือนกันตรงที่ทั้งคู่มีอำนาจในแวดวงตัวเอง ได้รับการยกย่องในหน้าที่การงานและมีเงินล้นหลามจนกลบเกลื่อนความผิดได้ระดับหนึ่ง ซึ่งเพราะปัจจัยนี้หลายคนจึงเลือกที่จะยังอารักขาและสนับสนุนต่อไป หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้อย่าง จอย กอร์แมน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ที่งาน Teen Vogue Summit ว่าเธอเคยทำงานให้ค่ายหนัง Miramax ในยุคที่ฮาร์วีย์เคยเป็นเจ้าของ และเธอเองก็ได้รู้ถึงวัฒนธรรมข่มขืนของฮอลลีวูด ซึ่งคดีของฮาร์วีย์ก็กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ในกองถ่ายพูดคุยกันตอนถ่ายทำ

 

 

เพราะตัวละครไบรซ์ที่ถูกโฟกัสมากขึ้นในซีซันนี้ ทำให้เกิดอีกหนึ่งตัวละครใหม่ที่น่าศึกษาและมีกราฟชีวิตในเรื่องที่สะท้อนปัญหาหลายจุดก็คือแฟนใหม่ช่ีอ โคลอี้ (รับบทโดย แอน วินเทอร์ส) เธอเป็นหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งในช่วงแรกของเรื่อง เราจะทำความรู้จักโคลอี้พร้อมอุปนิสัยและภาพลักษณ์แบบเดิมๆ เช่น ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีความพยายามเป็นนางพญา แต่พอเธอเริ่มเห็นธาตุแท้ของแฟนตัวเองกับการกระทำต่างๆ โคลอี้เริ่มเข้าใจหัวอกของเจสสิก้าที่โดนไบรซ์ข่มขืนและถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเธอยินยอม แต่เพราะความรักและการติดกับเรื่องวัตถุนิยมที่ไบรซ์ได้วาดฝันให้เธอ เราก็ต้องดูว่าโคลอี้จะเลือกเส้นทางใดต่อไป

 

ส่วนอีกหนึ่งตัวละครจากก๊วนเพื่อนทีมเบสบอลของไบรซ์ที่จะสร้างความฮือฮา และเราจะได้เห็นมิติใหม่อย่างสิ้นเชิงในซีซันนี้ก็คือ แซค เดมป์ซีย์ (รับบทโดย รอสส์ บัตเลอร์) กับการให้ปากคำในศาลที่แม้คนดูอาจจะเริ่มสามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกันได้ แต่พอแซคบอกเล่าเรื่องราวของเขาก็ทำให้เราต้องคิดใหม่!

 

อย่างหนึ่งที่ต้องชื่นชมกับตัวละครแซคคือการที่ผู้สร้างเลือกให้นักแสดงเป็นคนเอเชีย และในซีซันนี้ได้สร้างบรรยากาศ ความละเอียดอ่อน และบริบทของครอบครัวที่มีความกดดันแบบครอบครัวสไตล์เอเชีย ซึ่งคนไทยน่าจะเข้าใจกันดี แถมตัวละครแซคเองก็มีความแข็งนอกอ่อนในที่มาพร้อมความเซนสิทีฟสูงแบบอยากช่วยเหลือผู้อื่น เช่น ตัวละคร อเล็กซ์ สแตนดัลล์ (รับบทโดย ไมล์ส ไฮเซอร์) ที่ในซีซันนี้ต้องกายภาพบำบัดและพยายามทำให้ร่างกายพร้อมที่จะไปให้ปากคำในศาล แต่ในขณะเดียวกัน แซคก็ยังคงดูไม่เป็นตัวของตัวเองและเลือกที่จะคบหากับไบรซ์ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะหลายคนในช่วงวัยเรียนก็มักอยากอยู่กับกลุ่มที่ป๊อปปูลาร์ เพราะอยากได้รับการยกย่องจากเด็กคนอื่น

 

 

จะไม่ให้พูดถึง เคลย์ อีกหนึ่งนักแสดงนำและพระเอกในใจหลายๆ คนก็คงไม่ได้ ซึ่งในซีซันนี้เรายังคงเห็นเขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองที่อยากเดินหน้าต่อกับแฟนใหม่ สกาย มิลเลอร์ (รับบทโดย โซซี เบคอน) แต่ใจก็ยังไม่สามารถปล่อยวางจากฮันนาห์ได้ ขณะเดียวกันก็ยังอยากสู้เพื่อหาความยุติธรรมมาให้เธอ แต่ต้องเตือนแฟนคลับก่อนว่าในซีซันนี้บทบาทอาจลดลงถ้าเทียบกับภาคแรก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวละครนี้จะไม่สร้างอิมแพ็ก

 

ปิดท้ายที่ตัวละครซึ่งหลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ได้นึกถึงมากอย่าง ไทเลอร์ ดาวน์ (รับบทโดย เดวิน ดรูอิด) ช่างภาพประจำรุ่นที่แอบถ่ายรูปของฮันนาห์ในซีซันแรก ในภาคใหม่เขาคือตัวแทนของบุคคลที่เลือกจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและโตจากมัน ซึ่งเราต้องชื่นชมผู้สร้างอีกรอบที่ไม่พยายามทำให้ตัวละครจมปลักอยู่กับความทุกข์อย่างเดียว และทำให้เห็นว่าสำหรับบางคนก็มีแสงสว่างที่เล็ดลอดออกมา แต่พอคนเรามีความกล้าหาญขึ้น นอกคอกขึ้น เราจะรู้ลิมิตตัวเองเหรอไม่ นั่นคือสิ่งที่ตัวละครไทเลอร์สะท้อน

 

ตอนที่ Netflix ประกาศไฟเขียวว่าจะทำซีซัน 2 ก็เกิดกระแสต่างๆ นานา ซึ่งหลายคนเป็นห่วงว่าการจะมาขยายความและสร้างเรื่องต่อจากสิ่งที่ไม่ได้มีเขียนไว้หนังสืออาจทำให้เสน่ห์ของเรื่องลดลง แถมซีซันแรกก็ทำได้ถึงขั้น ‘คลาสสิก’ ไปแล้ว แต่พอได้เห็นผลลัพธ์ที่ออกมาก็ต้องบอกว่าผู้สร้างฉลาดในการวางเรื่องสำหรับซีซัน 2 ทำให้เราได้เห็นถึงปัญหาจากอีกหลายแง่มุม และเตือนสติว่าคนเราจะตัดสินทุกอย่างจากด้านเดียวคงไม่ได้

 

ซึ่งแม้แต่กับตัวละครฮันนาห์ ผู้สร้างก็ทำให้เธอมีความเป็นมนุษย์มากกว่านางเอก และทำให้เห็นว่าเธอก็มีการตัดสินใจที่อาจผิดพลาดและแก้มันในทางที่ไม่ถูกต้องเสมอไป

 

 

มากไปกว่านั้น การที่ในซีซันนี้มีการศึกษาตัวละครต่างๆ มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากคู่พระนางแล้วเราก็เชื่อว่าหลายคนมีสิทธิ์จะอิน ทั้งยังเห็นตัวเองในตัวละครอื่นๆ รวมถึงเข้าใจถึงเหตุผลและการกระทำที่แม้ทุกตัวละครจะมี ‘ความโกรธและความเสียใจ’ เหมือนกัน แต่คนเราก็มีความโกรธและความเสียใจหลายระดับที่ต่างกันออกไป

 

ใครที่ยังไม่เคยได้ดู 13 Reasons Why ตั้งแต่ซีซันแรก เราขอแนะนำให้เปิดใจดู อย่าได้คิดว่าเป็นแค่ซีรีส์ดราม่าวัยรุ่นของอเมริกาที่ เซเลนา โกเมซ มาเป็นโปรดิวเซอร์ และจะมีความเป็นสังคมฝรั่งจนคนไทยอาจเข้าไม่ถึง เพราะในสังคมปัจจุบัน โลกเราเปลี่ยนไปเยอะและแคบลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับกิจกรรมผ่านเทคโนโลยีที่ช่วยเชื่อมโยงและทำให้เราทุกคนแชร์ความคิดและการกระทำผ่าน ‘ภาษาออนไลน์’ คล้ายกัน

 

ซีซัน 2 ของ 13 Reasons Why ยังคงทำให้เห็นว่าทุกคนสามารถใช้เรื่องนี้เป็นกระจกสะท้อนตัวเองและมองไปในอนาคตได้ว่าสังคมกำลังจะเดินไปทางไหน เยาวชนเองจะเข้าใจสภาพแวดล้อมในโรงเรียน พ่อแม่ของเยาวชนก็จะได้เห็นว่าโรงเรียนสมัยนี้เป็นอย่างไร พ่อแม่มือใหม่จะได้ศึกษาและปลูกฝังหลักการใช้ชีวิตให้กับลูกตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ หากเราถอดฉากของโรงเรียนมัธยมปลายออกไปและดูแค่ตัวละครเรื่องนี้ เชื่อว่าในหลายๆ ครั้งเราอาจต้องถามตัวเองว่า ‘นั่นใช่เราหรือเปล่า’

 

 

*13 Reasons Why ซีซัน 2 จะเริ่มฉายวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ทาง Netflix

 

**หมายเหตุ: การรีวิวและวิเคราะห์ของบทความนี้มาจากซีรีส์ตอนที่ 1-9 ของ 13 Reasons Why ซีซัน 2 เท่านั้น  

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising