×

อยากมูฟออนแต่ยังไม่ไหว! นี่คือ 12 เรื่องรักที่จะพาคุณเศร้าให้สุดและส่งกำลังใจให้มูฟออนได้สำเร็จ

14.02.2022
  • LOADING...
หนังรัก

หากใครเคยได้ดูซีรีส์เรื่อง New Girls (2011) นำแสดงโดย Zooey Deschanel น่าจะพอจำได้ว่าเมื่อไรก็ตามที่ Jessica Day อกหักหรือเลิกกับคนรัก เธอจะนอนจมตัวเองอยู่บนโซฟาและเปิดภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง Dirty Dancing (1987) ดูและร้องไห้วนๆ ไปจนกลายเป็นอินไซด์โจ๊กที่เพื่อนๆ รูมเมตจะต้องทำให้เธอหยุดดูและหยุดร้องไห้ให้ได้ 

 

เช่นเดียวกับ Jess เราเชื่อว่าเมื่อใครก็ตามที่อกหักหรือเพิ่งจบความสัมพันธ์ การฟังเพลงเศร้าหรือดูหนังรัก เป็นหนึ่งในกิจกรรมเยียวยาจิตใจที่จะคอยอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งเราหายดี และหากคุณสังเกตดีๆ Dirty Dancing ก็ไม่ใช่หนังเศร้า แต่ที่ Jess เลือกเรื่องนั้นแทนที่จะเป็นหนังช้ำรักเรื่องอื่นๆ นั่นก็อาจเป็นได้ว่าเธอรู้สึกต้องการหนังรักโรแมนติกเพื่อมากอบกู้ศรัทธาในความรักให้กลับมา หลังตัวเองต้องสูญเสียคนรักไปนั่นเอง 

 

เราคิดว่าสิ่งที่ Jess บอกเราในเรื่องนี้นอกจากว่าเราต้องการหนังรักมาเยียวยาจิตใจแล้ว การเรียนรู้ว่าตัวเองอยู่ในสเตจไหนของการยอมรับ และการเดินทางเพื่อมูฟออนแบบไหนที่เราอยากได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน 

 

ท่ามกลางบรรยากาศวันและเดือนแห่งความรัก หากใครที่เพิ่งจบความสัมพันธ์หรือยังมูฟออนจากคนเก่าไม่ได้ THE STANDARD POP เลือกหนังรัก 12 เรื่อง กับ 12 ความสัมพันธ์ที่อาจจะไม่สมหวัง แต่ทุกเรื่องมีข้อความที่จะช่วยให้เรามูฟออนได้ดีจริงๆ

 

  • Blue Valentine 

เรื่องราวความรักของ Dean (Ryan Gosling) และ Cindy (Michelle Williams) ที่เริ่มต้นจากความหวานมากๆ แต่ต้องแยกทางกันในที่สุดเมื่อความรักของ Cindy ไม่เหมือนเดิม 

 

Blue Valentine เป็นหนังบีบหัวใจอีกเรื่องที่แสดงให้เราเห็นว่าบางทีความสัมพันธ์มันก็จบลงง่ายๆ แค่นั้นเลย ชีวิตคู่ที่ไม่มีใครทำอะไรผิดแต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนที่กำลังต้องการระบาย ร้องไห้ให้พอก่อนที่จะเดินต่อ สถานการณ์ในเรื่องเหมือนภาพจำลองให้เราเห็นตรงหน้าว่า หากอีกคนจะไปต่อให้เราพยายามรั้งทุกอย่างก็ไม่มีประโยชน์ การได้มองภาพเหล่านั้นตรงหน้าชัดๆ อาจช่วยให้เราตัดใจได้ดีขึ้น

 

  • Marriage Story

ภาพยนตร์บีบหัวใจอีกเรื่องที่เล่าเรื่องของ Charlie (Adam Driver) ในบทผู้กำกับการแสดง และภรรยานักแสดงสาว Nicole (Scarlett Johansson) ทั้งคู่เหมือนจะมีชีวิตคู่ที่ลงตัวระหว่างผู้กำกับและนักแสดง ไหนจะมีลูกชายน่ารักๆ อีกคน แต่เมื่อถึงวันหนึ่งชีวิตคู่เดินทางมาถึงจุดจบ เมื่อ Nicole ต้องการหย่า ซึ่งการแสดงของทั้งคู่พาเราตกอยู่ท่ามกลางครอบครัวที่กำลังจะแตกสลายได้ถึงอารมรณ์อย่างไม่ต้องพูดถึง

 

เรื่องราวของคู่นี้มีความต้องการและความฝันเข้ามาเกี่ยวข้อง การดูหนังเรื่องนี้นอกจากจะทำให้คุณได้ร้องไห้ ระบายออกมาซักครั้งและเดินทางยอมรับความจริงไปพร้อมๆ กับทั้งคู่แล้ว ยังมีเมสเสจดีๆ ที่คอยบอกให้คุณฟังความต้องการของตัวเอง เคารพในการตัดสินใจของตัวเอง และวิธีการที่จะเข้มแข็งบนทางเดินที่เลือกแล้วได้อีกด้วย 

 

  • La La Land 

อีกหนึ่งเรื่องราวของความรักที่ต้องจากลาเพื่อตามหาความฝัน La La Land เล่าเรื่องราวเส้นทางการเป็นนักแสดงของ Mia (Emma Stone) และนักเปียโน Sebastian Wilder (Ryan Gosling) ที่น่าเสียดายว่าเส้นทางไปสู่ความสำเร็จของทั้งคู่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่ในนั้น

 

นอกเหนือจากเพลงเพราะๆ การแสดงของทั้งสองนักแสดงคุณภาพ และเรื่องราวการทำตามความฝันแล้ว La La Land บอกกับเราว่าเรามีโอกาสที่จะได้เจอคนที่มีความสำคัญกับชีวิตและเราอาจจะรักเขามาก แต่บางครั้งมันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เราต่างคนต่างต้องใช้ชีวิตต่อ และคอยยินดีกับความสำเร็จของเขาจากไกลๆ ก็พอ 

 

  • Eternal Sunshine of the Spotless Mind 

อีกหนึ่งภาพยนตร์คลาสสิกเหนือจินตนาการจาก Michel Gondry ที่เล่าเรื่องของ Joel (Jim Carrey) และ Clementine (Kate Winslet) เจ้าของวลี ‘Meet Me in Montauk’ เมื่อ Joel ต้องการเข้าเครื่องลบความจำเกี่ยวกับ Clementine หลังจากที่ทั้งคู่เลิกกันและเกิดอยากเปลี่ยนใจระหว่างทาง

 

เราเชื่อว่าหลายๆ คนเคยคิดเล่นๆ ว่าเมื่อเราเลิกกับใครสักคน ถ้าลบความทรงจำได้เลยก็คงดี ภาพยนตร์เรื่องนี้ Gondry เลยทำหน้าที่จำลองสถานการณ์ให้เราเห็นซะเลยว่าถ้าลบได้จริงจะเป็นอย่างไร และให้ความรู้สึกของผู้ชมได้เดินทางไปพร้อมๆ กับ Joel เพื่อที่จะเรียนรู้ว่าสุดท้ายคุณก็อยากเลือกที่จะจำแล้วยังเจ็บมากกว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยนั่นเอง

 

  • 500 Days of Summer

เรื่องราวไม่สมหวังของ Tom (Joseph Gordon‑Levitt) และ Summer (Zooey Deschanel) ตลอด 500 วัน ที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนุกแต่อยู่บนพื้นฐานของความไม่ชัดเจนที่ต้องจบลงเมื่อจู่ๆ Summer ที่เคยพูดว่าไม่เชื่อในความสัมพันธ์ ก็ดันไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น

 

500 Days of Summer เป็นหนังรักเรื่องโปรดของใครหลายคนด้วยความใกล้ตัวที่เหมือนภาพจำลองให้คุณค่อยๆ ทบทวนว่าความสัมพันธ์ของคุณมาอยู่ถึงจุดนี้ได้อย่างไร เช่นเดียวกับ Tom ที่นั่งทบทวนเรื่องราวตลอด 500 วัน หนังเรื่องนี้ยังพาคุณไปหาคำตอบอย่างตอนที่ทั้งคู่นัดคุยกันในสวนสาธารณะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะบางครั้งบทสนทนานั้นจะสามารถช่วยให้คุณมูฟออนได้มาก และยังบอกให้คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองเมื่อพร้อม

 

หากคุณกำลังต้องการหนังปลอบใจ 500 Days of Summer อาจจะทำให้คุณร้องไห้แน่ๆ แต่ไม่เศร้าจนเกินไป แถมเชียร์อัพให้คุณพร้อมกับความรักครั้งใหม่อีกด้วย

 

  • Someone Great 

ภาพยนตร์ที่เราขอยกให้เป็น Hidden Gem เรื่องหนึ่งจาก Netflix Original เรื่องหนึ่งเลย เรื่องนี้เล่าสถานการณ์ความรักของ Jenny (Gina Rodriguez) นักเขียนด้านดนตรีที่ได้โอกาสทำงานกับสื่อดนตรียักษ์ใหญ่อย่าง Rolling Stone แต่นั่นทำให้เธอต้องย้ายข้ามฝั่งประเทศจากนิวยอร์กไปยังซานฟรานซิสโก และทำให้เธอต้องเลิกกับ Nate (LaKeith Stanfield) 

 

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์มาสเตอร์พีซอย่างเรื่องอื่นๆ กลับกันมันเป็นเรื่องรักที่เกิดกับใครก็ได้ แถมก็แอบรำคาญความเมามายของ Jenny ในบางที แต่นั่นเป็นภาพสะท้อนว่าคนเรามีวิธีการรับมือเหตุการณ์อกหักที่แตกต่างกัน Jenny อาจต้องการเมาเพื่อลืม ต้องการง้อ ฟูมฟายให้ได้ Nate กลับมา ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้และเลือกที่จะใช้วิธีระบายความรู้สึกทั้งหมดผ่านการ ‘เขียน’ ถึง Nate เธอไม่ได้ส่งจดหมายนั้นให้ Nate แต่คนสำคัญที่ต้องอ่านจดหมายฉบับนั้นก็คือตัวเธอเองเพื่อก้าวต่อให้ได้

 

  • He’s Just Not That Into You 

อีกหนึ่งภาพยนตร์คลาสสิกที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของหลายๆ คู่ เรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักผ่าน Gigi (Ginnifer Goodwin) หญิงสาวที่เฟลกับความสัมพันธ์หลายครั้ง เพราะแยกไม่ออกว่าการที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นเพราะเขาไม่ได้อินกับเธอจริงๆ เหมือนที่ชื่อเรื่องบอก

 

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ หนังแสดงให้เห็นถึงการกระทำหลายๆ แบบที่บอกให้เราเลิกให้ข้ออ้างและทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่เฮลตี้ ถ้าเขารักคุณจริงทุกอย่างมันจะง่ายและชัดเจนแบบที่ไม่ต้องปวดหัวกับความคลุมเครืออะไรเลย 

 

 

  • How to Be Single

How to Be Single เล่าเรื่อง Alice (Dakota Johnson) ที่เพิ่งโสดและย้ายมาอยู่นิวยอร์กเพื่อเริ่มงานใหม่ Alice เหมือนตัวแทนของคนช้ำรักที่บอกตัวเองว่าไม่ต้องการความสัมพันธ์ครั้งใหม่ แต่ปล่อยให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับผู้ชายคนอื่นๆ อีกหลายคน

 

ภาพยนตร์ทำให้เราเข้าใจว่าต่อให้จะเป็นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือก็ไม่ได้แปลว่าเธอเป็นโสดหรือสามารถใช้ชีวิตโสดได้ดี เมื่อจบความสัมพันธ์ การกลับมาโฟกัสที่ความต้องการของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการอยู่ด้วยตัวเองได้อย่าง Independent ดีทั้งต่อตัวเองและมันก็จะทำให้คุณเป็นคนรักที่ดีในอนาคตด้วยนะ 

 

  • Celeste and Jesse Forever 

Celeste (Rashida Jones) และ Jesse (Andy Samberg) คือเรื่องราวของ High School Sweethearts ที่แต่งงานกันเมื่อโตขึ้น เขาและเธอมีกันและกันมาตลอดจนลืมไปแล้วว่านานเท่าไร เมื่อทั้งสองตกลงที่จะหย่า ทั้งคู่คิดว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้จนกระทั่ง Jesse มีคนอื่น นั่นแหละถึงทำให้ Celeste เพิ่งเรียนรู้ที่จะมูฟออนจริงๆ 

 

เราเชื่อว่าคนที่เคยถามคำถามว่าเราเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ไหมน่าจะอินกับเรื่องนี้มาก บางทีการที่เราเลิกกับใครสักคนแต่ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม มันไม่ได้แปลว่าเรามูฟออนได้จริง คำว่าเพื่อนในกรณีนี้มันจับต้องไม่ได้จนกระทั่งคุณจะยอมรับตัวตนใหม่ที่เปลี่ยนไปแล้วของอีกฝ่ายได้ และยอมรับความรักครั้งใหม่ของเขาได้อย่างยินดี นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าจบ 

 

  • My Best Friend’s Wedding

My Best Friend’s Wedding เป็นหนังอกหักที่เราจัดอยู่ในหมวดให้กำลังใจ เรื่องราวของ Julianne (Julia Roberts) ที่ค้นพบว่าเพื่อนรักของเธอ (ที่ตกลงกันว่าจะแต่งงานกันตอนอายุ 28 ปี) อย่าง Michael (Dermot Mulroney) กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ตรงข้ามกับเธอทุกประการอย่าง Kimberly (Cameron Diaz)

 

My Best Friend’s Wedding บอกเราว่าจังหวะเวลาเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน หากบางโอกาสมันผ่านไปแล้วคุณก็ไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้ การเจอกันในตอนนี้มันอาจจะใช่สำหรับเรา แต่เมื่อเขามูฟออนไปมีอีกชีวิตใหม่ไปแล้ว เราก็ควรยอมรับและมูฟออนด้วยความยินดี

 

  • Bridesmaids 

อีกหนึ่งภาพยนตร์โรแมนติกอารมณ์ดีที่ให้กำลังใจไม่แพ้เรื่องอื่น Bridesmaids เล่าเรื่องราวของ Annie (Kristen Wiig) ตอนที่เธอเลิกกับแฟนและทำให้ร้านเบเกอรีของเธอเจ๊งไปด้วย Annie โดนไล่ออกจากงานใหม่ โดนไล่ออกจากอพาร์ตเมนต์ และมารู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอกำลังจะแต่งงาน

 

Annie อาจจะไม่รู้ตัวในทันทีว่าเธอเริ่มรับมือกับความสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงไม่ไหว เธอถึงทำให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ใหม่ที่แย่ๆ รวมถึงเกือบจะพังงานแต่งของเพื่อนตัวเอง ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ และคุณก็มีสิทธิ์ที่จะเสียใจ แต่อย่าจมตัวเองมากเกินไปจนปิดกั้นโอกาสดีๆ ใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามา หนังเรื่องนี้บอกกับเราแบบนั้น 

 

  • The Holiday 

เราเชื่อว่า The Holiday ติดอันดับหนังรักเรื่องโปรดของใครหลายๆ คนเช่นเดียวกับเรา ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศของเทศกาลด้วยไหม แต่เรื่องนี้ดูแล้วให้กำลังใจ ชุบชูใจให้เรามูฟออนได้อย่างร่าเริงมากจริงๆ 

 

The Holiday เล่าเรื่องของสองสาว Amanda (Cameron Diaz) และ Iris (Kate Winslet) ที่เพิ่งจบกับความสัมพันธ์แย่ๆ และตัดสินใจแลกบ้านกันในช่วงคริสต์มาส และทำให้ทั้งสองเจอกับความรักครั้งใหม่

 

การหนีออกไปเที่ยว พักสมองเพื่อทบทวนความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกับสองสาวเป็นเรื่องที่คุณทำได้หลังจบความสัมพันธ์ อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคืออย่าลืมกอบกู้คุณค่าของตัวเองกลับมาและบอกกับตัวเองว่าคุณสมควรที่จะได้รับความรักที่ดีเช่นเดียวกับสองสาว Iris และ Amanda

 

ภาพ: Courtesy of the Film Company

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories