×

จับตาการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของ Yves Rocher กับ Brand New ID ใหม่

19.11.2021
  • LOADING...
Yves Roche

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะสังเกตเห็นว่าหนึ่งในแบรนด์สกินแคร์สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Yves Rocher เริ่มเป็นที่จับตามองและอยู่ในกระแสของกลุ่มเด็ก Generation Millennials มากขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้คือหัวเรือใหญ่อย่าง ลาล่า-วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผละจากบ้านเก่าบริษัท L’Oreal ที่ผู้หญิงคนนี้เคยสร้างผลงานและพิสูจน์ความสำเร็จให้กับองค์กรมาแล้วมากมาย หลายคนอาจสงสัยว่าผู้หญิงเก่งที่อยู่ในบริษัทย่ิงใหญ่มาก่อนเล็งเห็นอะไรในแบรนด์ Yves Rocher ถึงยอมมารับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการทรานส์ฟอร์มบริษัท รวมถึงการเปลี่ยนทุกอย่างที่เคยล้าหลังให้ก้าวทันโลกแห่งอนาคตที่เธอไม่ได้ต้องการแค่ขึ้นขบวนให้ทัน แต่ต้องการเป็นหัวขบวนของการเป็น The Best Company for the World ตามความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่เอาจริงกับเรื่องรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่วันแรกที่สร้างแบรนด์ขึ้นมา 

 

THE STANDARD POP บุกไปเยือนออฟฟิศใหม่ของ Yves Rocher Thailand ที่เพิ่งย้ายสู่อาคารใหม่เอี่ยม Spring Tower บนชั้น 19 เพื่อพูดคุยกับ ลาล่า-วิลาสินี ภาณุรัตน์ ผู้บริหารคนสำคัญของแบรนด์ ที่จะมาเล่าถึงการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของ Yves Rocher ประเทศไทย กับ New Brand ID ที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งแคมเปญ Acts of Love ที่จะเปิดตัวในเดือนมกราคม 2022 นี้ด้วย

 

Yves Roche

 

หลังจบภารกิจอันแสนเหนื่อยหนักจากบริษัทเดิมที่ดูดพลังจนเริ่มอิ่มตัว และคิดว่าได้ทำครบและพิสูจน์ความสำเร็จทุกอย่างแล้ว จึงคิดจะออกจากวงการบิวตี้ แต่ก็มีโอกาสที่หยิบยื่นมาจาก Yves Rocher  

ลาล่า: พอจบมิชชันนี้คือคิดเลยว่าไปแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว คือฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เมกอัพ ตั้งใจว่าจะออกจากวงการบิวตี้แล้วล่ะ เพราะอยากไปทำอย่างอื่นบ้าง ที่ผ่านมาทำครบและพิสูจน์ทุกอย่างแล้ว มันก็วนลูปเดิม จำได้ว่าตอนที่ Yves Rocher โทรมาตอนแรกไม่ได้สนใจเลย เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่า Yves Rocher คือใคร สุดท้ายเขาบอกว่าจะมีผู้บริหารระดับสูงมาเยี่ยมพอดี ก็เชิญเราไปคุย ทุกครั้งที่ทำเป็นหน้าที่เลยคือเวลาจะไปคุยกับใครก็จะทำการบ้านก่อน พออ่านที่มาของแบรนด์ปุ๊บ อุทาน Oh My god! เลย เพราะเรื่องราวเบื้องหลังที่เกิดขึ้นจากผู้ก่อตั้งแบรนด์ เรารับรู้ได้ถึงการสร้างแบรนด์จากแพสชันจริงๆ เราได้เห็นความอินของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่เน้นเรื่อง Power of Nature และรักษ์โลก มาตั้งแต่ Day 1 มันจึงไม่ได้เป็นแค่ Natural Ingredient Product ที่เขาทำ แต่มันเป็น Natural Ingredient Product ที่เขาทำโดยไม่กระทบสิ่งแวดล้อมเลย โมเมนต์นั้นพี่คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้โอกาสในการทำแบรนด์ที่เข้ากับยุคสมัยพอดี เพราะคนเริ่มหันมาสนใจสิ่งแวดล้อม แม้จะยังไม่เยอะเท่ายุโรป แต่มันเริ่มแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่รู้จักแบรนด์ที่เข้ากันได้กับความเปลี่ยนแปลงนี้พอดี

 

Yves Roche

 

ลาล่า: ต้องบอกว่าด้วยงานที่ผ่านมาเราสร้างมาร์เก็ตติ้งที่ต้องสร้าง Story ขึ้นมาเองเพื่อดึงความสนใจของผู้คนมาเยอะ แต่พอมาเป็นแบรนด์ Yves Rocher เรารู้ได้เลยทันทีว่ามันไม่ต้องคอยสร้างเรื่อง Bullshit อีกต่อไปแล้ว เขามี Story ที่ดีงามของเขาอยู่แล้ว และจุดยืนของเขามัน Positive มาก เขาไม่ได้ทำแค่ Commercial อย่างเดียว แต่แยกเป็นแต่ละ Foundation ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรเลยกับ Commercial ด้วย

 

ซึ่งลูกชายคนโตเป็นคนรัน แสดงให้เห็นชัดว่าเขาอินกับตรงนี้จากข้างในจริงๆ ดูจากที่เขาประกาศกร้าวว่า เขาจะไม่เป็น The Best Company in the World แต่เขาจะเป็น The Best Company for the World แล้วก็ชัดเจนมากๆ ว่ามันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์ พอเรารับรู้ Story ตรงนี้ก็เลยอิน 

 

Yves Roche

 

จุดมุ่งหมายที่เจ้าของแบรนด์ต้องการทรานส์ฟอร์มองค์กรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอด 60 ปี คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจร่วมงานกับ Yves Rocher 

ลาล่า: ความประทับใจอันดับ 2 ที่ทำให้ตัดสินใจมาร่วมงานกับ Yves Rocher คือพอดู Ingredient ข้างหลังผลิตภัณฑ์จะรู้เลยว่าเขาใช้ Ingredient ดีมากเมื่อเทียบกับราคาที่เขาขาย และที่เมืองไทยเขามีฐานลูกค้าของเขาอยู่แล้ว 5 แสนคน แต่ไม่ได้บอกใครว่า เฮ้ยแก ฉันใช้ Yves Rocher ก็เลยมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และมันก็พิสูจน์ว่า Product มีความ Strong จริงๆ ถ้าทำมาร์เก็ตติ้งแล้วแบรนด์ Strong บวกกับ Product Strong มันจะมีชัยไปกว่าครึ่ง ก็เลยเริ่มสนใจ ประกอบที่เขาบอกว่า สาเหตุที่แบรนด์เริ่มมองหา CMO เพราะว่าเขาต้องการจะทรานส์ฟอร์มองค์กร โดยจะเริ่มตั้งแต่ Global เพราะเขารู้ว่าการที่แบรนด์ Yves Rocher ทำการตลาดมา 60 ปี (ที่เมืองไทยทำการตลาดมา 22 ปี) มันไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาเริ่มต้นจาก Mail Order ทุกวันนี้ก็ยัง Mail Order อยู่ ก็คือมีความโบราณและไม่ได้รู้จักการทำมาร์เก็ตติ้งจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีฐานลูกค้าเก่าที่กลับมาอยู่เรื่อยๆ แต่ฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นเด็กเจนใหม่เนี่ยเขาคุยไม่ได้เลย ก็เลยคิดว่าเขาต้องเริ่มเปลี่ยน นอกจากการทำการตลาดที่จะมาเน้นเจาะกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ เขาก็เริ่มมองเห็นว่าที่ยุโรปมันตัน แต่ที่เอเชียจะเป็น Rising ต่อไป 

 

ลาล่า: และสำหรับตัวเราเองก็อยากทำให้งานมันมีความหมายขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าเราได้ทำมาร์เก็ตติ้งที่เราชอบ แต่ว่ามันมี Positive Impact กับโลก กับคนทั่วไป รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นการได้โอกาสมาเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มที่นี่ก็คือได้ทรานส์ฟอร์มจริงๆ แบบ 360 องศา ในชีวิตตัวเองก็ไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เป็น Once in a Lifetime เลยที่ได้โอกาสในการทำทุกสิ่งอย่างที่ไม่มีโอกาสไปทำกับที่อื่นแน่นอน 

 

เป้าหมายสำคัญที่ท้าทายได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปี 2020 

ลาล่า: ที่ผ่านมาทำแบรนด์บิวดิ้งมาตลอดชีวิต อินกับแบรนด์ สร้างแบรนด์ แบรนดิ้งสำหรับเราคือสำคัญมาก สิ่งที่ตั้งใจอย่างแรกที่มาทำที่ Yves Rocher คือการบิลด์แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นจุดยืนหรือมิชชันของแบรนด์จะไม่เปลี่ยนเลย แต่สิ่งที่เราจะเปลี่ยนคือวิธีการเล่าเรื่อง เพราะทุกวันนี้เด็กไม่เข้าใจและเด็กไม่ฟัง คือกลุ่มเด็ก Generation Millennials จะไม่รู้สึกว่านี่คือแบรนด์ของตัวเอง ก็เลยอยากทำให้แบรนด์แข็งแรงและเป็นที่รู้จัก เพราะคนรู้จักน้อยมาก ถ้าเราจะคุยกับคนกลุ่มนี้ต้อง Define กับกลุ่ม Consumer ใหม่ ตอนที่เข้ามาค่าเฉลี่ยอายุของคนที่เป็นลูกค้าคือ 48 ซึ่งค่อนข้างสูงมาก เราไม่สามารถอาศัยคนกลุ่มนี้ไปได้ตลอด เพราะไม่กี่ปีเขาก็อาจจะหยุดใช้ไปแล้ว ต้องหาคนใหม่ๆ แน่นอนว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะทำให้ Voice ของเราดังขึ้นคือเด็กกลุ่มนี้ แต่เราก็จะ Specific ว่าจะต้องเป็นกลุ่มที่ชอบ Ingredient ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ยากเลย เพราะ 80% ของคนเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ซึ่งคนที่สนใจเรื่อง Ingredient ต้องเป็นคนที่เริ่มใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งพอเรา Define Target Consumer ใหม่ เราก็จะต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เราจะคุยกับเขายังไงให้เขาอิน ก็คือออนไลน์ 

 

  1. ปรับช่องทาง เพราะแต่เดิมคือ 100% ขายผ่านหน้าร้าน ก็เลยต้อง Optimize ใหม่ และต้องเตรียมการสำหรับออนไลน์ แต่ว่าออนไลน์แพลตฟอร์มอย่าง Social Selling นี่แหละที่คิดว่ามันจะเป็น Online Channel ของเราก็ทำกันไปตอนนั้น พอโควิดมาปุ๊บ กลายเป็นว่าหน้าร้านต้องปิด 100% เรายังไม่มี Social Selling ก็ต้องสู้กันแบบสุดใจขาดดิ้น ผัน BA ของเรา 300 คน มาทำ BA Commerce ที่เริ่มโทรไป มีไลน์ มี Facilitate ว่าไม่ต้องออกจากบ้านก็ซื้อได้ แล้วก็กลับไปแอ็กทีฟที่ Lazada กับ Shopee ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเรามันถูกจริตคนกับช่วงที่เกิดโควิดใหม่ๆ พอดีที่เน้นเรื่องไฮยีน ทำให้ยอดขายตอนนั้นโตระเบิดมาก เราเลย Keep เป็นอีกหนึ่งช่องทางการขายของแบรนด์มาถึงปัจจุบันนี้ และตอนนี้ก็กำลังทำ Social Selling กันอยู่ พอเรามี Data เราก็อยากทำ CRM ด้วย (Customer Relationship Management) ซึ่งก็คือการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธุรกิจของแบรนด์
  2. เพิ่ม Value ของสินค้า เพื่อให้สินค้ามี Story ที่โดดเด่นและชัดเจนขึ้น  

 

Yves Roche

 

หลังเข้ามาบริหารไม่นาน การ Turn Around แบรนด์จากที่ไม่มีใครพูดถึงในออนไลน์ ก็มีการทำเกี่ยวกับ Social Media Activation ส่งผลให้ Yves Rocher เป็น No.1 ที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในตลาดบิวตี้ในเวลาแค่เดือนเดียว ล่าสุดกำลังเริ่มส่วนที่เป็น Omni Channel 

ลาล่า: ส่วนที่เป็น Omni Channel อันนี้เพิ่งเริ่มเลย แล้ว CRM ก็เพิ่งจะรื้อ Data ใหม่ เขียนใหม่ เลยตัดสินใจใช้ CRM Salesforce เพื่อจะรู้ว่าลูกค้าเราคือใคร Offer ยังไง แคมเปญทำอะไรยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้ยังคงอีกไกลกับการพัฒนา Omni Channel ให้แข็งแกร่ง เพราะปีหน้าเราจะเต็มที่ยิ่งกว่านี้ เพราะเราจะเป็น Customer Experience แล้วบอกตรงๆ ว่าตื่นเต้น เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ และมันจะเป็นอนาคตแน่ๆ คือถ้าใครทำแล้ว Win ปุ๊บ มัน Win แน่นอน แต่มันไม่ใช่ทุกคนจะทำได้  ดังนั้น Ambition ปีหน้าสิ่งนี้จะใหญ่ที่สุดที่เราจะ Drive 

 

สิ่งที่ทำให้ภูมิใจในภาวะที่โรคระบาดโควิดกลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น

ลาล่า: สิ่งที่ภาคภูมิใจก็คืออย่างรู้กันว่าตลาดบิวตี้ของปีที่แล้ว มันติดลบประมาณ -8 ตั้งแต่มีโควิดเข้ามา แต่แบรนด์ของเรา +7 ในขณะที่ร้านเราปิดหน้าร้านเกือบ 2 เดือนเต็ม เราก็ทำผลงานเป็นบวกได้ ปีนี้ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะไม่คิดว่าโควิดจะกลับมาและเกิดผลกระทบใหญ่อีก เพราะเราล็อกดาวน์นานกว่าเดิม ตลาดที่ผ่านมาก็ติดลบเยอะกว่าเดิมคือ -11 แต่เราก็ทำได้ +7 เหมือนเดิม ก็มาจากแบรนด์ด้วยและมาจากผลิตภัณฑ์ที่เราทำ Strategy ชัดเจนขึ้นว่าทำไมควรซื้อสินค้านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเราคือ 100% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเรานำเข้าจากฝรั่งเศส คุณภาพคับแก้ว ในราคาที่ถูก พอเราทำ Product Communication มีการสื่อสารมากขึ้น มันก็เลยไปได้ค่อนข้างดี ต้องขอบคุณบ้าน Yves Rocher ที่ให้โอกาสและเชื่อเรา จนเราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรกับทีมของเรา จะเปลี่ยนอะไรยังไงบ้าง ก็เลยจัดการเปลี่ยนทีมก่อนเลย เพราะต้องการมือขวามือซ้ายที่เข้ามือกัน จริงๆ ครึ่งหนึ่งของที่นี่ที่นั่งทำงานอยู่กับ Yves Rocher คือลูกน้องเก่าที่เคยทำงานด้วยกันมา ก็ดึงกันมาเพื่อกรูมทีมใหม่ กลุ่มคนเหล่านี้แหละที่ช่วยทำให้ 3 Agenda ดำเนินไปได้ด้วยดี 

 

หัวใจสำคัญในการรับมือกับวิกฤตโควิดคือการปรับตัวเร็ว

ลาล่า: โควิดทำให้เราต้องปรับตัวกันได้เร็วเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ต้องบอกว่าวิกฤตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีใครแพลนมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น แต่พอมันเกิดแล้วเราเห็นโอกาสว่า Man Power ในทีมของเรามีความ Agility มาก อย่างที่มักจะมีคนพูดเสมอว่าการเปลี่ยนแปลงที่มันรวดเร็วขึ้น ที่มันจะเห็นผลชัดเจน มันจะเกิดจาก 2 วิ คือ วิกฤตกับวิสัยทัศน์ ถ้าเราปรับตัวเร็วเราจะได้เปรียบ ตอนนั้นก็คือให้ทีมลืมไปเลยว่าตัวเองสวมหมวกอะไรอยู่ เราต้องดีไซน์การทำงานใหม่เลยว่าการที่เราจะหันมาใช้ E-Commerce เราต้องทำอะไร ต้องใช้อะไรบ้าง อันนี้ที่พี่เห็นว่าเป็นโอกาส ซึ่ง +7% ที่ได้มา ก็มาจากอันนี้แหละ คือทำเลย ลองผิดลองถูก และปรับตัวเร็ว 

 

ลาล่า: ทำให้โจทย์ตอนนี้จะชัดขึ้น จาก 3 Agenda ที่คิดและเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2020 มันเป็นภาพลอยๆ เพราะตอนแรกที่เข้ามาเรายังไม่รู้ว่าพอทำสิ่งนี้ไปจะได้อะไร สองปีผ่านมาเราก็เพิ่งได้เริ่มแพลนการทำงานในปี 2022 กันแล้ว เราเรียนรู้มากขึ้น และเราชัดเจนมากขึ้นว่าต่อไปจะก้าวไปยังไง ปี 2022 สำหรับพี่คือปีที่เราจะเก็บเกี่ยวแล้วล่ะ ที่ผ่านมาเหมือนเราล้างบ้าน เราคลีนบ้านทุกอย่างแล้ว ปีหน้าเราจะไปต่อ ซึ่งโจทย์แต่ละอย่างมันจะมีความยากง่ายไม่เท่ากัน อันที่จะยากที่สุดเพราะต้องใช้พลังแรงงานมากที่สุดคือ Omni Channel เพราะเป็นเรื่องใหม่และเราเพิ่งเริ่มต้น 

 

แม้ Yves Rocher จะเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนเรื่อง Natural Ingredient Product ที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่วันแรก การที่ปัจจุบันมีแบรนด์ความงามต่างๆ เริ่ม Go Green คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

ลาล่า: ทุกคนอาจจะสังเกตเห็นว่าทุกแบรนด์ความงามในท้องตลอดตอนนี้ไม่มีแบรนด์ไหนเลยที่ไม่พูดว่าฉัน Green คือทุกแบรนด์ Green หมดเลย จริงๆ แล้วเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ Day 1 ข้อได้เปรียบของเราคือเพราะเราเริ่มก่อนชาวบ้านชาวเมือง เรากล้าพูดเลยว่าทุก Agenda ที่เกี่ยวข้องกับ Beauty หรือ Sustainability เช่น ลดการใช้พลาสติก, แพ็กเกจจิ้งรีไซเคิล, ผลิตภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ต่างๆ ฯลฯ พวกนี้ที่แบรนด์ต่างๆ กำลังทำอยู่ แต่เราทำมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วตลอด 60 ปี ซึ่งมันทำให้เราเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในเรื่องเหล่านี้ ถ้าถามว่าเทรนด์ Clean Beauty หรือเทรนด์ Green ที่กำลังมา เอาจริงๆ ก็เป็นโควิดทำให้คนสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น ในวงการบิวตี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็จะเห็นแน่นอนว่าปีหน้าทุกคนจะมาคุยกันเรื่องนี้เยอะมาก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจและมองสิ่งนี้อยู่มากๆ การที่แบรนด์ต่างๆ หันมาเทรนด์นี้มันก็ดีแล้วที่แบรนด์ต่างๆ ช่วยกันทำ เพราะมันจะทำให้อิมแพ็กที่มีต่อโลกดีขึ้น เหมือนเราต่างช่วยกันช่วยโลกและเคารพสิ่งแวดล้อมด้วย แต่ก็ภูมิใจว่าแบรนด์เราเป็นผู้นำเรื่องนี้และทำด้วยแพสชันแท้จริง

 

Yves Roche

 

สิ่งที่ทำให้ Yves Rocher แข็งแกร่งกว่าใครในตลาด Clean Beauty ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนของโลกและไม่กระทบสิ่งแวดล้อม

ลาล่า: ทุกคนรู้จักว่าเราเป็น Beauty Brand หรือ Botanical Brand ที่ใช้ Natural Ingredient แต่ว่าเบื้องหลังตรงนั้นเราเป็นคนที่สื่อสารกับธรรมชาติ แบรนด์เราไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มี Natural Ingredient เพราะเราไม่ใช่ แต่เราคือแบรนด์ที่ต้องมีทั้ง Sustainable และ Botanical Solution แม้ว่าแน่นอนว่าเราใช้ Natural Ingredient แต่มันต้องเป็น Natural Ingredient ที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนกับโลก มันยากนะกับการที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จัก Content หรือ Story เหล่านี้ เพราะมันเยอะมากๆ แล้วผลิตภัณฑ์ของเราคือส่งตรงมาจากฝรั่งเศส หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราทำได้และแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งทั่วไปคือเราไม่มีตัวกลาง เพราะเราปลูกเอง เก็บเกี่ยวเอง ผลิตเอง ทุกอย่างผลิตจากที่เดียวกันคือ La Gacilly ที่เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์นี้ เพราะโมเดลแบบนี้ทำให้เราขายได้ถูกและเป็นราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นโจทย์ที่พี่ต้องคิดตลอดว่าจะเล่ามันออกมายังไงถึงสิ่งที่เราแตกต่างและโดดเด่น เพราะที่ผ่านมาเหมือนโดดเด่นแค่ในบ้านของตัวเอง รู้กันเอง แต่คนนอกไม่รู้ หน้าที่เราคือทำให้คนรู้จักเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรา Define Target กันใหม่ด้วย

 

New Brand ID คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ภายใต้การทรานส์ฟอร์มของ Yves Rocher Thailand

ลาล่า: New Brand ID คือสิ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เปลี่ยนไป เพื่อเน้นให้ผู้บริโภคเข้าถึงง่ายขึ้น ดังนั้นปีหน้า 2022 จะได้เห็นแน่นอน ถามว่าทำไมต้องรอปีหน้า เพราะว่าทีม Global เขาใช้เวลาในการผลิตทุกสิ่งอย่าง เขาเองก็คราฟต์แบรนด์และมีการเปลี่ยนเหมือนกัน คือเขาก็พยายามหาว่ามุมไหนที่เขาจะพูดถึงดี สมัยก่อนโน้นเขาพยายามจะเล่าเรื่องผ่านสโลแกน Act Beautiful ซึ่งเป็นสโลแกนเก่า แล้วคนไม่เข้าใจ เขาเลยใช้เวลาในการตามหาว่าอะไรจะดีกว่า แล้ววันนี้แหละเขาเพิ่งจะเปิดเผยออกมาว่าเป็น New Brand ID ซึ่งก็จะเป็นสโลแกนใหม่ และเอาจุดยืนมาเล่าเรื่องใหม่ให้ทันสมัยขึ้น และ Brand ID ทั้งหมดจะโดนเปลี่ยน ออฟฟิศ Yves Rocher Thailand ก็เป็นออฟฟิศเดียวในโลกที่เริ่มก่อน Head Quarter ด้วยที่ใช้ Visual Graphic ของ New Brand ID มาตกแต่งออฟฟิศใหม่ และจุดยืน Inlove with Nature ก็จะต่อยอดเป็นแคมเปญ Act of Love ที่จะเป็นแคมเปญใหญ่ของเดือนมกราคมปีหน้า และที่จะเปิดตัวเลยก็คือ Act of Love และ New Brand ID ซึ่งมันหมายถึงจุดยืนเรื่อง Green ด้วย มันจึงเป็นเหมือน Commitment ของเรา และเป็นมิชชันของเราด้วย และปีหน้าจะมีสินค้าออกใหม่ที่เป็นเมนของเราเยอะมาก 

 

สิ่งที่อยากสื่อสารถึงแฟนๆ ของ Yves Rocher เกี่ยวกับโลกและสิ่งแวดล้อม

ลาล่า: อยากบอกว่ามันไม่มีโมเมนต์ไหนที่ชัดเจนเท่านี้แล้วล่ะว่าทุกคนต้องช่วยกัน สำหรับเราการรักษ์โลกมันรอไม่ได้แล้ว ทุกคนจะเห็นว่าผลกระทบที่มันเกิดขึ้นนั้นส่งผลที่รุนแรงมาก ตอนนี้เราอยู่ใน Last Minute คือถ้าถัดมาจากนั้น 1 นาที แปลว่าโลกจะพังแล้วนะ ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่เสียแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ได้แปลว่ายังเหลืออีกครึ่งหนึ่งให้เสียได้อีก มันไม่ใช่นะ ขั้นต่อไปคือโลกก็คงพังแล้ว ดังนั้นตอนนี้มันคือโมเมนต์ที่เราทุกคนต้องตระหนักและมาคิดเรื่องนี้กันได้แล้ว แต่เราก็ไม่ต้องการให้ทุกคนต้องลำบากเปลี่ยนแปลงอะไรที่ย่ิงใหญ่ เราสามารถเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ถ้าทุกคนช่วยกันเราก็ได้ช่วยโลกเหมือนกัน เราเชื่อว่าทุกคนเป็น Green Hero ได้ และมันเป็นเรื่องของทุกคนนะ เราไม่ได้บังคับว่าต้องใช้แบรนด์เรา จะใช้แบรนด์อื่นที่รักษ์โลกก็ได้ ขอให้เป็นสิ่งที่มี Positive Impact ด้วยค่ะ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising