หลังจากที่ในปีนี้ Netflix ได้ปล่อย One Piece ซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันที่ดัดแปลงจากมังงะระดับปรากฏการณ์ในชื่อเดียวกันของ เออิจิโระ โอดะ ออกมาให้แฟนๆ ทั่วโลกรับชม และได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างเนืองแน่น
ตอนนี้ก็มาถึงคิวของ Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน อีกหนึ่งมังงะยอดฮิตจากปลายปากกาของ โยชิฮิโระ โทงาชิ ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นฉบับไลฟ์แอ็กชันความยาว 5 ตอนที่เพิ่งออกฉายทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยซีรีส์ได้ โช สึคิคาวะ จาก Let Me Eat Your Pancreas (2017) และ The 100th Love With You (2017) มานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วย อากิระ โมริอิ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Alice in Borderland (2020) มาดูแลในตำแหน่งโปรดิวเซอร์
Yu Yu Hakusho ว่าด้วยเรื่องราวของ ยูสึเกะ (ทาคุมิ คิตามุระ) เด็กหนุ่มจอมเกเรที่เข้าไปช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งจนถูกรถชนเสียชีวิต กระทั่ง โคเอ็นมะ (เคตะ มาจิดะ) ลูกของผู้ปกครองยมโลก ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะชุบชีวิตให้กับยูสึเกะ โดยแลกกับการที่เขาต้องเป็นนักสืบโลกวิญญาณเพื่อปราบเหล่าปีศาจบนโลกมนุษย์
หากกล่าวถึงชื่อของมังงะหรืออนิเมะสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีผู้อ่านผู้ชมหยิบยกมากล่าวถึงเสมอๆ หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ Yu Yu Hakusho กับเรื่องราวการต่อสู้กับเหล่าปีศาจสุดแกร่งบนโลกวิญญาณของ 4 ตัวละครหลักอย่าง ยูสึเกะ, คุราม่า, ฮิเอ และ คุวาบาระ ที่ต่างก็มีคาแรกเตอร์อันโดดเด่นและเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน
นอกจากนี้ยังมีชื่อของ อากิระ โมริอิ จากซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Alice in Borderland มาร่วมดูแลโปรเจกต์ ก็ยิ่งทำให้ตัวซีรีส์ Yu Yu Hakusho น่าจับตามองมากขึ้นไม่แพ้ One Piece
ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนอาจจะไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของ Yu Yu Hakusho มากนักเมื่อเทียบกับ One Piece แต่ซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ดัดแปลงจากมังงะยอดฮิตออกมาได้อย่างกลมกล่อม
โดยจุดเด่นข้อแรกที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือฉากแอ็กชันเท่ๆ จากฝีมือของ ทาคาฮิโตะ โออุจิ ผู้กำกับฉากแอ็กชันจากภาพยนตร์และซีรีส์ชุด High & Low และภาพยนตร์ชุด Rurouni Kenshin ที่ดุเดือดสมการรอคอย โดยเฉพาะฉากแอ็กชันแบบ Long Take ระหว่าง คุราม่า (จุน ชิซง) และ คาราสุ ที่ถูกสร้างสรรค์มาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จนเรียกได้ว่าฉากแอ็กชันเหล่านี้คือไฮไลต์สำคัญที่สร้างความสนุกสนานแก่เราได้ดีจริงๆ
อีกหนึ่งจุดที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือการที่ทีมสร้างตัดสินใจลดทอนความตลกขบขันของเรื่องลง เพื่อให้ตัวซีรีส์มีความร่วมสมัยและมีบรรยากาศจริงจังมากขึ้น เพราะหากเราลองย้อนมองฉบับอนิเมะซีรีส์ จะสังเกตได้ว่าตัวละครอย่างยูสึเกะจะมีความทะลึ่งตึงตังอยู่ประมาณหนึ่ง หรือจะเป็น คุวาบาระ (ชูเฮย์ อุเอสึกิ) ที่คอยสร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้ชมอยู่เสมอๆ แต่ในฉบับนี้ทั้งคู่ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความจริงจังมากขึ้น มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ขณะเดียวกันยูสึเกะก็ยังเป็นคนที่ปากแข็งแต่ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และคุวาบาระก็ยังเป็นคนขี้โวยวายและมุทะลุแบบเดียวกับต้นฉบับ
รวมถึงเนื้อเรื่องที่ถูกปรับเปลี่ยนและต่อยอดให้มีความกระชับและสมเหตุสมผลมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องราวของคุวาบาระที่ฉบับนี้เขาไม่ได้หมายมั่นจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเอาชนะคู่ปรับอย่างยูสึเกะอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อที่จะสามารถปกป้องผู้คนที่เขาห่วงใยได้ด้วยกำลังของตัวเอง หรือจะเป็นการผูกโยงเหตุการณ์ที่ยูสึเกะต้องออกตามหาสมบัติทั้งสามชิ้น เข้ากับเหตุการณ์ที่ ฮิเอ (ทานากะ ฮอนโก) กำลังตามหาน้องสาว ก็ทำให้เนื้อเรื่องดูน่าติดตามมากขึ้น
ดังนั้นการปรับเปลี่ยนและต่อยอดเนื้อเรื่องให้มีความจริงจังมากขึ้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลมกล่อมและน่าติดตาม รวมถึงผู้ชมที่อาจจะไม่เคยอ่านหรือชม Yu Yu Hakusho มาก่อน ก็สามารถติดตามซีรีส์เรื่องนี้ได้ไม่ยากเช่นกัน
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องแลกมาเห็นจะเป็นเนื้อเรื่องในภาคการประลองโลกมืดที่ถูกตัดทอนและขมวดรวมให้อยู่ในซีซันนี้ ก็น่าจะทำให้แฟนๆ หลายคนที่ตั้งตารอชมฉากการประลองในฉบับไลฟ์แอ็กชันแอบเสียดายอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ในภาพรวม Yu Yu Hakusho ฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน แม้ว่าทีมสร้างจะตัดสินใจรวบรัดตัดทอนเรื่องราวจากต้นฉบับให้อยู่ในซีรีส์ความยาว 5 ตอน แต่สำหรับผู้เขียนก็คิดว่าทีมสร้างสามารถปรุงแต่งเรื่องราวและนำเสนอในรูปแบบไลฟ์แอ็กชันออกมาได้อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะฉากแอ็กชันอันดุเดือดเข้มข้นที่เป็นไฮไลต์ของเรื่อง รวมถึงเรื่องราวของตัวละครที่มีเสน่ห์และน่าติดตาม
สามารถรับชมซีรีส์ Yu Yu Hakusho ทั้งฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันและฉบับอนิเมะได้แล้วทาง Netflix
รับชมตัวอย่างได้ที่:
ภาพ: Netflix