เพียงหนึ่งปีหลังจากการเปิดตัว รถยนต์ไฟฟ้า SU7 ของ Xiaomi ได้แซงหน้า Tesla Model 3 ในยอดขายที่ประเทศจีน เปลี่ยนให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายนี้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในตลาดรถ EV ในขณะที่ธุรกิจสมาร์ทโฟนซึ่งเป็นหัวใจหลักก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง
เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Lee Jae-yong ประธาน Samsung Electronics ได้เข้าพบ Lei Jun ซีอีโอของ Xiaomi ที่โรงงานผลิตรถ EV ของ Xiaomi ในปักกิ่ง สื่อท้องถิ่นรายงานว่า Samsung คู่แข่งรายใหญ่ของ Xiaomi ในตลาดสมาร์ทโฟน กำลังสำรวจความร่วมมือกับบริษัทจีนรายนี้ เนื่องจากพวกเขากำลังขยายธุรกิจในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า
Xiaomi เองก็กำลังสร้างโรงงานผลิตรถ EV แห่งที่สองในบริเวณใกล้เคียง และยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) ในปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดส่งมอบโดยรวมจากปี 2024 ให้มากกว่าเท่าตัวเป็น 350,000 คัน
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 มีการจำหน่าย SU7 ในจีนไปแล้วประมาณ 186,000 คัน ซึ่งมากกว่า Tesla Model 3 ตามข้อมูลจากผู้ให้บริการข้อมูลยานยนต์ของจีนรายหนึ่ง แม้ว่า SU7 รุ่นพื้นฐานจะมีราคาเริ่มต้นที่ 215,900 หยวน เมื่อเทียบกับ Model 3 ที่ราคา 235,500 หยวน
อีกทั้ง SU7 มีระยะทางขับขี่ที่ไกลกว่าที่ 700 กิโลเมตร ต่อ 634 กิโลเมตร รวมถึงอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เร็วกว่าที่ 5.28 วินาที ต่อ 6.1 วินาที SU7 รุ่นท็อปยังทำผลงานได้เหนือกว่า Model 3 ในรุ่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีราคาถูกกว่าประมาณ 10%
ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของ Xiaomi เป็นผลมาจากห่วงโซ่อุปทานของจีนที่แข็งแกร่ง รวมถึงบุคลากรที่มีความสามารถจากหลากหลายอุตสาหกรรม Lei Jun กล่าวว่าการเข้าสู่ตลาดรถ EV ของบริษัทจำเป็นต้องมีผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายด้าน
ในฐานะผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Xiaomi ยังมีจุดแข็งในด้านซอฟต์แวร์ SU7 รุ่นพื้นฐานมาพร้อมกับความสามารถในการนำทางด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (NOA) สำหรับทางหลวง ส่วนรุ่นที่สูงขึ้นอีกสองรุ่นมาพร้อมระบบ NOA ที่ใช้ได้ทั้งบนทางหลวงและถนนในเมือง
เมื่อเทียบกันแล้ว BMW i3 และ Porsche Taycan ไม่มีความสามารถ NOA แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ามากก็ตาม Xiaomi กำลังเพิ่มขีดความสามารถของรถยนต์ที่จำหน่ายไปแล้วด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-The-Air
บริษัทได้เปิดตัวฟังก์ชัน Autopilot สำหรับถนนในเมืองให้กับรถรุ่นไฮเอนด์ทั้งสองรุ่นใน 10 เมืองของจีนในเดือนมิถุนายน 2024 และขยายไปทั่วประเทศในเดือนตุลาคม ในขณะเดียวกัน Tesla เริ่มทดสอบ City Autopilot ในจีนในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ได้ระงับการเปิดตัวเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย
Xiaomi ยังจับตาตลาดหรูหราด้วย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ บริษัทได้เปิดตัวรถสปอร์ตไฟฟ้า SU7 Ultra ซึ่งสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในสองวินาที เร็วกว่า Porsche Taycan Turbo S ในราคาเพียงหนึ่งในสาม ยอดสั่งจองถึง 10,000 คัน ซึ่งเป็นเป้าหมายทั้งปีของ Xiaomi ภายในเวลาเพียงสองชั่วโมงหลังเปิดตัว
แต่สิ่งที่ทำให้ Xiaomi โดดเด่นอย่างแท้จริงคือความสามารถในการเติบโตธุรกิจที่มีอยู่ รวมถึงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปพร้อมกับการขยายธุรกิจสู่รถ EV
บริษัททำรายได้รวมและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 มีเงินสดและสินทรัพย์คล่องตัวเพิ่มขึ้น 28% เป็น 1.75 แสนล้านหยวน นี่เป็นผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดของ Xiaomi เท่าที่เคยมีมา
ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ กำไรสุทธิของ Volkswagen ลดลง 33% เมื่อปีที่แล้ว และ Nissan Motor คาดว่าจะขาดทุน
ทว่ายังไม่ชัดเจนว่าธุรกิจรถ EV ของ Xiaomi จะทำกำไรได้เมื่อใด แต่เป้าหมายนั้นดูเหมือนจะไม่ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าธุรกิจรถ EV และธุรกิจที่เกี่ยวข้องของ Xiaomi จะขาดทุนสุทธิ 6.2 พันล้านหยวน สำหรับทั้งปี 2024 แต่การขาดทุนรายไตรมาสก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความสำเร็จของ Xiaomi ถือว่าผิดปกติแม้แต่ในหมู่ผู้ผลิตรถ EV ของจีนด้วยกันเอง
ก้าวต่อไป Xiaomi ตั้งเป้าที่จะสร้างระบบนิเวศอัจฉริยะ ‘Human x Car x Home’ โดยรถ EV ของบริษัทติดตั้งระบบปฏิบัติการ HyperOS ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับที่ใช้ในสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงบริการสมัครสมาชิกเพลงหรือควบคุมเครื่องใช้ในบ้านได้โดยตรงจากแผงควบคุมในรถยนต์
ทาง Xiaomi วางแผนที่จะสร้างพลังร่วมระหว่างสมาร์ทโฟน, เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถ EV ให้มากขึ้น บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้น 30% ภายในสิ้นปีนี้ เป็นจำนวนสูงสุดถึง 20,000 แห่ง รวมถึงร้านค้าสูงสุด 400 แห่งที่จะจำหน่ายรถ EV ด้วย
Lei Jun ตัดสินใจขยายธุรกิจของ Xiaomi ไปสู่รถ EV หลังจากสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทในเดือนมกราคม 2021 บริษัทประกาศในเดือนมีนาคมนั้นว่าจะลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรถ EV เป็นระยะเวลา 10 ปี และมีแผนที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศในที่สุดด้วย
ล่าสุด Xiaomi กล่าวว่าจะระดมทุนกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มเติม ราคาหุ้นของบริษัทได้ลดลงประมาณ 10% นับตั้งแต่นั้นมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการลดสัดส่วนการถือหุ้น แต่ยังคงเพิ่มขึ้นประมาณ 50% จากต้นปี สะท้อนให้เห็นถึงความหวังที่สูงของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท
อ้างอิง: