นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด รายงานแปลกๆ เกี่ยวกับการเห็นมนุษย์ต่างดาวเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อยานอพอลโล 11 ได้นำมนุษย์คนแรกไปเหยียบบนพื้นผิวดวงจันทร์ หลังจากนั้นก็ปรากฏรายงานการเห็นจานบินและมนุษย์ต่างดาวเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา พร้อมกับมีทฤษฎีใหม่ๆ ที่เชื่อว่า ปิรามิดก็ดี สโตนเฮนจ์ก็ดี ไม่ได้สร้างโดยฝีมือมนุษย์ หากแต่สร้างโดยมนุษย์ต่างดาว!
จินตนาการว่าด้วยมนุษย์ต่างดาวนี้เองที่ทำให้โบราณคดีในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ใช่วิชาที่ว่าด้วยการศึกษาอดีตของมนุษย์ผ่านวัตถุเท่านั้น แต่ได้ขยายไปสู่การศึกษาร่องรอยของมนุษย์ต่างดาวด้วย และมีความคิดกันว่า สักวันหนึ่งนักโบราณคดีจะเดินทางไปขุดค้นและรวบรวมหลักฐานบนดวงจันทร์และดาวอังคารกัน
‘Xenoarchaeology’ สืบร่องรอยของมนุษย์ต่างดาว
ถ้าไปดูหนังหรืออ่านนิยายอิงวิทยาศาสตร์บางเรื่อง มักมีตัวแสดงที่เป็นนักโบราณคดีหรือมีงานโบราณคดีเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย เรื่องที่ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงคุ้นเคยกันมากที่สุดคือ Star Wars ซึ่งมี เจได ที่เป็นนักโบราณคดีอยู่ มิชชันหนึ่งของพวกนี้ก็คือ การท่องอวกาศเพื่อหาอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวที่สาบสูญไป แล้วนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาประวัติศาสตร์ของจักรวาล ความจริงแล้ววิธีคิดเช่นนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำงานของนักโบราณคดีเท่าไร เพียงแต่เปลี่ยนสเกลจากโลกเป็นจักรวาลเท่านั้น
สาขาวิชาโบราณคดีที่ว่าด้วยการศึกษามนุษย์ต่างดาวนี้ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Xenoarchaeology มีรากศัพท์มาจากคำ 2 คำ คำแรกคือ Xeno แปลว่า คนต่างด้าว (กลายมาเป็นมนุษย์ต่างดาว) และ Archaeology แปลว่า โบราณคดี เป้าหมายหนึ่งของงานสาขานี้ก็คือ การศึกษาวัฒนธรรมหรืออารยธรรมของมนุษย์ต่างดาว เพื่อทำให้เห็นว่า มนุษย์นั้นมีพัฒนาการร่วมกับมนุษย์ต่างดาวทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างไร
ผู้อ่านอาจจะรู้สึกว่า เรื่องนี้คงเป็นการสร้างสาขาวิชาแบบที่ดูเหลวไหลไปสักหน่อย แต่ปรากฏว่า ใน ค.ศ. 1997 ได้มีการประชุมทฤษฎีทางด้านโบราณคดีว่า ควรมีการถกกันในเรื่องโบราณคดีในงานนิยายอิงวิทยาศาสตร์ และใน ค.ศ. 2004 ก็มีพูดถึงมานุษยวิทยาและโบราณคดีกับการสื่อสารกับต่างดาวอีกด้วย แน่นอน ฟังดูแล้วเพ้อเจ้อ และยังห่างไกลจากความเป็นจริง แต่จริงๆ แล้วโดยพื้นฐานของงานโบราณคดีแล้วก็คือ วิชาว่าด้วยการศึกษาคนอื่น แต่เปลี่ยนจากอารยธรรมอื่นเป็นมนุษย์ต่างดาวเท่านั้นเอง
ภาพถ่ายเงาของ นีล อาร์มสตรอง ที่ตกกระทบบนดวงจันทร์โดยฝีมือของ นีล อาร์มสตรอง เอง (Photo: NASA)
รอยเท้านั้น และโบราณคดีบนดวงจันทร์
ในช่วงวาระครบรอบ 50 ปี ของการลงจอดยานอพอลโลบนดวงจันทร์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1969 นักโบราณคดีหลายคนออกมาพูดถึงโครงการขุดค้นบนดวงจันทร์กัน เพราะดวงจันทร์ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของนิทาน หรือไม่ใช่เรื่องของดาราศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของโลกด้วย อลิซ กอร์มัน นักโบราณคดีอวกาศแห่งมหาวิทยาลัยฟินเดอร์ส ออสเตรเลีย ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ว่า นับแต่มนุษย์ได้ลงไปเหยียบดวงจันทร์ มีเอกสาร วัตถุที่ถูกทิ้งไว้ และร่องรอยของมนุษย์บนดวงจันทร์ไม่น้อยเลย แน่นอน มีภาพถ่ายและรายงานอะไรต่างๆ มากมายที่ออกมาจากนาซา รัสเซีย หรือจีน แต่ก็มีสิ่งอื่นที่นักโบราณคดีให้ความสนใจอีกด้วย
อลิซกล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะมีภาพถ่ายรอยเท้าของนักบิน นีล อาร์มสตรอง และนักบินอวกาศคนอื่นๆ มากมายบนดวงจันทร์ แต่ก็ไม่มีใครศึกษาว่า รอยเท้านั้นได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างที่นักบินอวกาศอาจไม่ทันได้รู้ตัวเอาไว้ ซึ่งเชื่อว่า ถ้าหากลงไปศึกษารอยเท้าต่างๆ บนดวงจันทร์ของนักบินอวกาศนับจากอพอลโล 11-17 จะช่วยทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น
ในขณะที่นักโบราณคดีบางคนมองว่า ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้มียานอวกาศมากมายที่ลงจอด (หรือชน) บนดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ทั้งหมดนี้ถือเป็นร่องรอยของมนุษย์ที่สามารถบ่งบอกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้ และควรจะต้องรวบรวมกันในอนาคต
นาซกา ส่องร่องรอยอารยธรรมจากฟากฟ้า
ถึงแม้ว่า ตอนนี้นักโบราณคดีจะยังไม่ได้ไปขุดค้นบนดวงจันทร์ ไม่ได้ค้นพบอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ทำงานเกี่ยวข้องกับอวกาศอยู่เสมอ โดยมีสาขาหนึ่งที่เรียกว่า Space Archaeology ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยอย่างไรดีไม่ให้ฟังดูแปลกๆ แต่น่าจะเป็นโบราณคดีจากฟากฟ้า น่าจะเข้าท่ามากกว่าโบราณคดีอวกาศ
ตัวอย่างของการทำงานโบราณคดีจากฟากฟ้าก็คือ การค้นพบนาซกาไลน์เป็นจำนวนถึง 143 รูป มีทั้งรูปคน รูปนก และรูปสัตว์ ที่ทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศเปรู โดยทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่น การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี AI เข้าช่วยประมวลผลและค้นหา ซึ่งเป็นการศึกษาตั้งแต่ ค.ศ. 2016-2018 และเพิ่งจะเปิดเผยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง ภาพพวกนี้กระจายตัวอยู่ในรัศมี 10 กิโลเมตรจากทางเหนือและทางใต้ของที่ราบสูง คาดการณ์กันว่า อายุของภาพนาซกานี้คงอยู่ราว 100 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 500 แล้วจึงหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาต่างพยายามตีความว่า นาซกาไลน์นี้สร้างขึ้นเพื่ออะไร แต่ก็ยังคงเป็นปริศนา หลายคนคาดว่า คงสร้างขึ้นเพื่อใช้สื่อสารกับเทพเจ้าบนท้องฟ้า บางคนมองว่า เป็นการจำลองดวงดาวตามจินตนาการของคนในยุคนั้น ที่อาจเห็นหมู่ดาวเป็นรูปคน รูปลิง รูปสัตว์ต่างๆ ลงมายังพื้นดิน หรือสร้างขึ้นบูชาเทพเจ้าภูเขาหรือดวงดาว แต่แน่นอนว่า มีคนบางกลุ่มที่มองว่า ชาวนาซกาอาจต้องการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว เพราะมีภาพบางภาพ เช่น ภาพ The Giant ที่มีรูปร่างเหมือนกับ ET หรือมนุษย์ต่างดาวเอามากๆ
ภาพ The Giant ที่บางคนเชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงอย่างไรก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง (Photo: Diego Delso / wikipedia)
ผมเชื่อว่า หลายคนคงเชื่อว่ามนุษย์เราคงไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มันน่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอยู่ร่วมกับเราด้วย เพียงแต่เทคโนโลยีของเราทุกวันนี้ยังก้าวไปไม่ถึง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การลงจอดของยานอพอลโลและรอยเท้าของ นีล อาร์มสตรอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จนอาจเรียกได้ว่า นับจาก ค.ศ. 1969 เป็นต้นมานั้น มนุษย์ได้เข้าสู่ ‘ยุคอวกาศ (Space Age)’ แล้ว และมันได้ส่งผลสะเทือนต่อจินตนาการของมนุษย์ต่ออวกาศอย่างอักโข
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- theconversation.com/footprints-on-the-moon-and-cemeteries-on-mars-interview-with-space-archaeologist-alice-gorman-118911
- en.wikipedia.org/wiki/Xenoarchaeology
- arstechnica.com/features/2018/02/is-space-the-next-frontier-for-archaeology/#
- www.express.co.uk/news/weird/872041/aliens-Nazca-Lines-tomb-UFO-peru
- www.asahi.com/ajw/articles/AJ201911160018.html
- en.wikipedia.org/wiki/Nazca_Lines