ข่าวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจหดตัวของไอซ์แลนด์จากการที่สายการบินต้นทุนต่ำสายการบินหนึ่งปิดตัวลงอย่างกะทันหันในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาดูจะไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ในไทยนัก แต่หากพิจารณารายละเอียดแล้วจะพบว่าทั้งเศรษฐกิจของไทยและไอซ์แลนด์ต่างพึ่งพิงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมากคล้ายคลึงกัน
กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ และจารุวรรณ เหล่าสัมฤทธิ์ – Krungthai COMPASS ระบุว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับไอซ์แลนด์เป็นบทเรียนที่ดีให้กับไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หลายสายการบินกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนแรกของบทความ เราขอกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ก่อน
รู้หรือไม่ว่าการที่สายการบินต้นทุนต่ำปิดตัวทำให้เศรษฐกิจไอซ์แลนด์ทรุดมากที่สุดในรอบ 10 ปี
ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2019 WOW air ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ของไอซ์แลนด์ประกาศยุติการดำเนินการและยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดอย่างกะทันหันในวันเดียวกันจากปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ด้วยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจที่เร็วและมากเกินไป สภาพการแข่งขันของธุรกิจสายการบินที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนการประสบภาวะขาดทุนติดต่อกัน 2 ปี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่สามารถเดินทางเข้าไอซ์แลนด์ได้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไอซ์แลนด์ในช่วง 3 เดือนถัดมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวลดลงเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีการประเมินว่านักท่องเที่ยวทั้งปีจะลดลงเหลือ 8.9 ล้านคน จากจำนวน 9.8 ล้านคนในปี 2018
หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ธนาคารกลางของไอซ์แลนด์ได้ทำการปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจจาก 1.8% เหลือเพียง 0.4% ซึ่งนับเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ไอซ์แลนด์ประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินในช่วงปี 2008-2011 นอกจากนี้แล้วก็ยังมีการปรับการคาดการณ์ตัวเลขการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 3.1% เป็น 3.9% ด้วยเช่นกัน
ทำไมแค่สายการบินปิดตัวจึงส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากขนาดนี้
ไม่บ่อยนักที่เราจะพบว่าการที่บริษัทหรือสายการบินเดียวปิดตัวลงจะกระทบเศรษฐกิจทั้งประเทศ แต่ด้วยความที่ GDP ของไอซ์แลนด์พึ่งพิงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 12% นักท่องเที่ยวกว่า 90% ก็เดินทางมาเที่ยวไอซ์แลนด์ทางอากาศ
และ WOW air ก็เป็นสายการบินซึ่งนำนักท่องเที่ยวต่างชาติสัดส่วนกว่า 30% เข้ามาในประเทศในปี 2018 ดังนั้นเมื่อ WOW air ยุติการดำเนินการอย่างกะทันหันจึงทำให้เกิดผลกระทบด้านลบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไอซ์แลนด์อย่างหนัก
แล้วเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องอะไรกับไทย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไอซ์แลนด์สามารถนำมาเปรียบเทียบกับไทยได้ เนื่องจากไทยมีปัจจัยหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับไอซ์แลนด์ ยกตัวอย่างเช่น
ประการที่ 1: เศรษฐกิจของทั้งไอซ์แลนด์และไทยพึ่งพิงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงประมาณ 12%
ไทยกับไอซ์แลนด์มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากในเรื่องความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศ โดยเมื่อดูข้อมูลย้อนไปในช่วงปี 2011-2018 จะพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาไทยเพิ่มขึ้นจาก 19 ล้านคนเป็น 38 ล้านคน หรือโตเฉลี่ยปีละ 11.9% ในขณะที่ไอซ์แลนด์มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 5 แสนคนเป็น 2.2 ล้านคน หรือโตเฉลี่ยปีละ 22%
สำหรับเหตุผลที่นักท่องเที่ยวเติบโตอย่างมากในกรณีของไอซ์แลนด์คือการอ่อนตัวของค่าเงินหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ในขณะที่กรณีของไทยมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทย โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวไทยประมาณ 80% เดินทางมาด้วยเครื่องบิน
ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ความสำคัญของภาคการท่องเที่ยวต่อ GDP ของทั้งไทยและไอซ์แลนด์เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากที่เคยมีสัดส่วนต่อ GDP เพียง 4-5% ในช่วงปี 2008 กลายเป็นมีสัดส่วนถึง 12% ในปี 2018 การที่เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสัดส่วนกว่า 12% ของ GDP ถือว่าค่อนข้างสูง (เม็ดเงินดังกล่าวมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปีถึง 2.5-3 เท่า) เมื่อเทียบกับหลายประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีสัดส่วนดังกล่าวประมาณ 1% ในขณะที่มาเลเซียและสิงคโปร์มีสัดส่วนดังกล่าวประมาณ 6% เป็นต้น อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ต้องการสื่อว่าสัดส่วนที่สูงนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของทั้งไทยและไอซ์แลนด์อย่างมาก (คิดง่ายๆ ว่านักท่องเที่ยวลดลง 10% ก็สามารถทำให้ GDP โตน้อยกว่าเดิมถึงกว่า 1% แล้ว)
ประการที่ 2: ทั้งไทยและไอซ์แลนด์พึ่งพิงนักท่องเที่ยวชาติหลักๆ จากไม่กี่ประเทศ
ในกรณีของของไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวกว่า 40% มาจากสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ในขณะที่ในกรณีของไทย นักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนประมาณ 32% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
การที่ประเทศหนึ่งต้องพึ่งพิงนักท่องเที่ยวจากประเทศหนึ่งในสัดส่วนที่สูง ก็ทำให้ภาคการท่องเที่ยวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกรณีที่ประเทศต้นทางไม่มาท่องเที่ยวอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลต่างๆ (ไม่ว่าจะเป็นประสบภัยธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจ หรือสายการบินหลักเกิดปิดตัวอย่างกะทันหันอย่างในกรณีของไอซ์แลนด์)
ประการที่ 3: ธุรกิจสายการบินกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน
ไม่ว่าจะเป็นสายการบินไทย ซึ่งเป็นสายการบินที่นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากที่สุด (คิดเป็นสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทางอากาศทั้งหมด) กำลังประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2019 ขาดทุนสุทธิกว่า 6,400 ล้านบาท และมียอดขาดทุนสะสมตั้งแต่ปี 2015 กว่า 33,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก SET)
สำหรับสายการบิน Thai AirAsia และ Thai Lion Air ซึ่งเป็นสายการบินลำดับ 2 และ 3 ที่นำนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยก็มีผลประกอบการไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะ Thai Lion Air ซึ่งกำลังประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน เป็นมูลค่าการขาดทุนสะสมกว่า 8,400 ล้านบาท เฉพาะการขาดทุนในปี 2018 มีมูลค่ากว่า 4,600 ล้านบาท (ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
ในกรณีของ Thai AirAsia แม้จะยังไม่ประสบปัญหาขาดทุน แต่ด้วยการแข่งขันที่มากขึ้น และต้นทุนค่าน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นก็ทำให้ผลประกอบการของ Thai AirAsia ในครึ่งปีแรก 2019 มีกำไรเพียงแค่ 25 ล้านบาทเท่านั้น (ข้อมูลจาก SET)
แล้วไทยจะเป็นอย่างไอซ์แลนด์หรือไม่
ถึงแม้ว่าไทยจะมีปัจจัยหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับไอซ์แลนด์ แต่ไม่คิดว่าไทยมีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์อย่างไอซ์แลนด์สูงนัก และแม้จะเกิดก็คงไม่รุนแรงเท่า
ด้วยประการแรก โอกาสที่สายการบินไทยจะยุติการดำเนินการอย่างกะทันหันนั้นเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากการบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ แตกต่างกับ WOW air ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน และแม้สายการบินต้นทุนต่ำต่างๆ จะกำลังประสบภาวะขาดทุน แต่ก็มีสัดส่วนการนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ไทยน้อยกว่าในกรณีของ WOW air
ประการที่สอง ไทยมีสายการบินหลักๆ ที่นำนักท่องเที่ยวเข้าไทยหลากหลายกว่าไอซ์แลนด์ ซึ่งมีสายการบินหลักที่นำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเพียงแค่ 2 กลุ่มสายการบินเท่านั้น ดังนั้นแม้ว่าสายการบินใดสายการบินหนึ่งจะหยุดให้บริการไปก็มีความเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวจะยังสามารถเดินทางมาไทยได้ด้วยสายการบินอื่น
อย่างในกรณีของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นชาติที่มาเที่ยวไทยมากที่สุด พบว่ามีกว่า 32 สายการบินที่นำนักท่องเที่ยวจีนบินตรงมาที่ไทย และไม่ได้มีสายการบินใดที่มีสัดส่วนการนำนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเกินกว่า 15%
บทสรุป
อย่างไรก็ดี แม้เราจะประเมินว่าความเสี่ยงในเรื่องนี้ของไทยจะไม่เท่ากับไอซ์แลนด์ แต่จากข้อมูลต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่าธุรกิจท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเฉพาะตัวจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมการบินซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอยู่ โดยปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายอาจยังไม่ได้ให้ความสนใจนัก
ดังนั้นความสำคัญของการสร้างการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่มาจากชาติต่างๆ ที่หลากหลายจึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว สิ่งที่ควรจับตาจึงมิได้มีเพียงแค่เรื่องค่าเงิน และภาวะเศรษฐกิจในประเทศของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเท่านั้น หากแต่รวมถึงผลประกอบการของสายการบินที่พานักท่องเที่ยวเหล่านั้นเข้ามาด้วยเช่นกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์