×

World Cup Memo Day 28: ‘รางวัลบู้บี้’ ที่อาจมีค่ากว่าที่คิด

17.12.2022
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 MIN READ
  • ในประวัติศาสตร์แล้วก็มีนัดชิงที่ 3 หลายนัดที่สู้กันอย่างถึงพริกถึงขิงจนแทบจะอยากถามกลับไปว่า “ไหนว่าไม่เอาจริงไง” เช่น เกมที่โปแลนด์เอาชนะฝรั่งเศสได้อย่างสุดมัน 3-2 ในฟุตบอลโลก 1982 หรือเกมที่ตุรกีเฉือนเอาชนะเกาหลีใต้ด้วยสกอร์เดียวกันในปี 2002 
  • ถึง ลูกา โมดริช ยังไม่ได้มีการประกาศยืนยันเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองแต่อย่างใดว่าจะรับใช้ทีมชาติต่อไปหรือไม่ แต่เชื่อกันว่านี่เป็นโอกาสดีสำหรับการปิดตำนานในฟุตบอลโลกของเขา หลังจากที่รับใช้ทีมชาติมาตั้งแต่ปี 2006 
  • โมร็อกโก เรื่องราวที่งดงามที่สุดของฟุตบอลโลกครั้งนี้ พวกเขามีแรงจูงใจมากกว่าในการที่จะสร้างประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่กับชาติตัวเอง แต่ยังเป็นตัวแทนของแอฟริกาที่มีโอกาสจะคว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกได้นับตั้งแต่เริ่มแข่งมาเมื่อ 92 ปีที่แล้ว

หากจะมีเกมสักนัดในฟุตบอลโลกที่ไม่ได้รับความสำคัญที่สุดแล้ว คนจำนวนมากจะคิดถึงเกมนัดชิงที่ 3 ขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย

 

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะเกมนัดนี้ถูกมองว่าเป็นเกมปลอบใจที่บางทีก็น่าคิดว่าเป็นการปลอบใจจริงหรือไม่ และอะไรที่จะเป็นการดีกว่าระหว่างการปล่อยให้คนอกหักได้ไปพักใจ กับการให้โอกาสในการแก้ตัวอีกครั้ง

 

แม้กระทั่ง วาลิด เรกรากุย โค้ชของโมร็อกโกเองก็ยังมองว่ามันคือเกม ‘Booby Prize’ หรือรางวัลบู้บี้ ซึ่งในความหมายที่แท้จริงนั้นคือรางวัลสนุกๆ ที่จะมอบให้แก่คนที่แข่งขันได้เป็นลำดับที่สุดท้าย

 

อย่างไรก็ดี เกมระหว่างโครเอเชียและโมร็อกโกในค่ำคืนนี้ก็อาจจะไม่ใช่เกมที่ไร้ความหมายอะไรขนาดนั้น โดยเฉพาะสำหรับสองทีมที่ไม่ใช่ชาติมหาอำนาจแต่สู้ได้อย่างน่าประทับใจมาตลอดทัวร์นาเมนต์

 

และในประวัติศาสตร์แล้วก็มีนัดชิงที่ 3 หลายนัดที่สู้กันอย่างถึงพริกถึงขิงจนแทบจะอยากถามกลับไปว่า “ไหนว่าไม่เอาจริงไง” เช่น เกมที่โปแลนด์เอาชนะฝรั่งเศสได้อย่างสุดมัน 3-2 ในฟุตบอลโลก 1982 หรือเกมที่ตุรกีเฉือนเอาชนะเกาหลีใต้ด้วยสกอร์เดียวกันในปี 2002 รวมถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างอังกฤษและเบลเยียมเมื่อ 4 ปีก่อน

 

สำหรับโครเอเชีย พวกเขาเคยได้ที่ 3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกมาก่อน ตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกในปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่แยกตัวออกจากยูโกสลาเวีย เมื่อปี 1992 ด้วยการเอาชนะเนเธอร์แลนด์ได้ 2-1

 

ฮีโร่ของพวกเขาในวันนั้นคือวีรบุรุษของชาติในยุคเริ่มต้นอย่าง ดาวอร์ ซูเคอร์ กองหน้าเท้าซ้ายฟ้าประทานที่เป็นหนึ่งในนักเตะ ‘หมายเลข 9’ ที่เก่งที่สุดของยุคสมัย และอีกคนคือ โรเบิร์ต โปรซิเนสกี ยอดมิดฟิลด์ห้องเครื่องที่จัดอยู่ในกลุ่มโคตรบอลแห่งยุคเช่นกัน

 

เพราะเหตุนี้รางวัลนี้จึงอาจจะดูไม่ถึงกับน่าตื่นเต้นมากนัก ความผิดหวังในการพลาดโอกาสเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน เพื่อไปแก้ตัวหลังจากที่ไปไม่ถึงฝันเมื่อ 4 ปีก่อนยังเป็นแผลสดที่ยังเจ็บอยู่

 

แต่สำหรับทีมของ ชลัตโก ดาลิช ที่รวมตัวกันมาอย่างยาวนานและเริ่มมีการถ่ายเลือดอย่างเงียบๆ เกมนี้จะเป็นเกมสำคัญสำหรับ The Old Guards ที่คอยปกปักรักษาทีมอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัปตันของพวกเขา ลูกา โมดริช

 

ถึงกองกลางสุดคลาสสิกผู้นี้ยังไม่ได้มีการประกาศยืนยันเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองแต่อย่างใดว่าจะรับใช้ทีมชาติต่อไปหรือไม่ แต่เชื่อกันว่านี่เป็นโอกาสดีสำหรับการปิดตำนานในฟุตบอลโลกของเขา หลังจากที่รับใช้ทีมชาติมาตั้งแต่ปี 2006 

 

ฟุตบอลโลกในอีก 4 ปีข้างหน้ามันไกลเกินไปสำหรับนักเตะในวัย 37 ปีอย่างเขา และบางทีการหยุดทุกอย่างที่เกมนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีและสวยงามกว่าการยื้อและฝืนต่อไป

 

นักเตะผู้เกิดในไฟสงคราม เติบโตบนเถ้าถ่านและซากปรักหักพัง เรียนรู้ฟุตบอลจากการเล่นในลานจอดรถที่ว่างเปล่าในโรงแรมสำหรับผู้อพยพ การพาตัวเองและทีมชาติโครเอเชียที่มีจำนวนประชากรแค่ 4 ล้านคนมาได้ไกลขนาดนี้ก็ไกลยิ่งกว่าฝันแล้ว

 

นอกจากโมดริชแล้ว สำหรับ อิวาน เปริซิช และ มาร์เซโล โบรโซวิช นี่ก็อาจเป็นการส่งท้ายเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นต่อไปก้าวขึ้นมาแทนที่ด้วยเช่นกัน

 

ขณะที่ทางด้านโมร็อกโก เรื่องราวที่งดงามที่สุดของฟุตบอลโลกครั้งนี้ พวกเขามีแรงจูงใจมากกว่าในการที่จะสร้างประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่กับชาติตัวเอง แต่ยังเป็นตัวแทนของแอฟริกาที่มีโอกาสจะคว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ นับตั้งแต่เริ่มแข่งมาเมื่อ 92 ปีที่แล้ว

 

ราชสีห์แห่งแอตลัส’ ที่หนุ่มแน่น ดุดัน ปราดเปรียว และมีเขี้ยวเล็บ ทีมนี้สร้างความประทับใจมามากมายเหลือเกินตลอดการแข่งขัน ซึ่งยังมีนอกเหนือจากผลงานที่ตะลุยผ่านด่านมากมายจนมาถึงการดวลกับฝรั่งเศสได้อย่างชนิดทำเอาแชมป์โลกต้องปาดเหงื่อ

 

สีสันของกองเชียร์ ภาพน่ารักๆ ระหว่างแม่กับลูก ไปจนถึงตัวของเรกรากุยที่เคยพูดถึงเกมนี้ว่าเป็นรางวัลบู้บี้ หากคว้ารางวัลเหรียญทองแดงมาครองได้ ก็จะบันทึกในประวัติศาสตร์ที่สวยงามมากขึ้นกว่าแค่การพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก

 

อย่างที่บอกว่าโมร็อกโกตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของประเทศ แต่เป็นตัวแทนในระดับทวีป และมากกว่านั้นคือเป็นตัวแทนของโลกอาหรับด้วย ซึ่งหากใครติดตามข่าวฟุตบอลโลกจากสำนักข่าวอาหรับอย่าง Al Jazeera จะได้เห็นเรื่องราวแง่มุมต่างๆ ของพวกเขามากเสียยิ่งกว่าเรื่องราวของชาติมหาอำนาจอย่างอาร์เจนตินา ฝรั่งเศส หรือบราซิลเสียอีก

 

ความสำเร็จนี้จึงมีค่ามากกว่าที่คิด เพราะมันจะเป็นความภูมิใจของ 3 โลก โลกของชาวโมร็อกโก โลกของชาวแอฟริกา และโลกของชาวอาหรับ

 

คุณค่าแอบแฝงที่ซ่อนอยู่ในเกมนัดนี้ ยังมีเรื่องของการสร้างชื่อเสียงเรียกราคาค่าตัวสำหรับบรรดานักเตะดาวเด่นหลายๆ คนที่มีโอกาสจะได้รับความสนใจจากทีมใหญ่

 

ก่อนหน้านี้เราอาจไม่เคยได้ยินชื่อของ โดมินิก ลิวาโควิช หรือ อัซเซดีน ฮูนาไฮ มาก่อน แต่หลังจากนี้พวกเขาจะต้องย้ายทีมไปอยู่สโมสรดังอย่างแน่นอน ซึ่งเกมคืนนี้ก็จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะพิสูจน์ฝีเท้าให้เห็นว่าที่ผ่านมาในทัวร์นาเมนต์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ 

 

เพราะการซื้อนักฟุตบอลที่เด่นในทัวร์นาเมนต์มีความเสี่ยงเสมอ อย่างน้อยหากแสดงความสม่ำเสมอให้เห็นก็เป็นเรื่องที่ดี

 

เช่นนั้นเองที่เราน่าจะพอคาดหวังกันได้สำหรับนัดชิงที่ 3 ของฟุตบอลโลก โดยเฉพาะสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ ที่แม้จะถูกมองว่าเป็นฟุตบอลโลกมีมลทิน เปื้อนเลือด แข่งขันกันบนซากศพและคราบน้ำตาของแรงงาน ไปจนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศ การขาดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และอื่นๆ แต่นี่คือหนึ่งในฟุตบอลโลกที่สนุกสนานที่สุดตั้งแต่ต้นจนใกล้จะจบการแข่งขัน

 

โครเอเชียและโมร็อกโกก็เช่นกัน พวกเขาน่าจะทำให้ทุกคนได้สนุกไปกับเกมอีกครั้ง เป็นการสั่งลาให้สวยงามที่สุดสำหรับทัวร์นาเมนต์ในความทรงจำครั้งนี้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising