Q: เพื่อนที่ทำงานซึ่งแต่งงานแล้วโบ้ยงานให้เราทำเยอะกว่าเขาด้วยเหตุผลว่าเราโสด ไม่มีภาระ ส่วนเขาแต่งงานมีลูกแล้ว ต้องรีบกลับบ้านไปเลี้ยงลูก งานหลายๆ อย่างที่ถ้าต้องอยู่ดึก เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ หรือเกินห้าโมงเย็นขึ้นมาเขาจะรีบเด้งและปฏิเสธเลยว่าเขาทำไม่ได้ ให้คนโสดทำดีกว่าเพราะอยู่ดึกได้ คนโสดนี่เสียเปรียบเรื่องการทำงานจังนะคะ เขาอ้างแบบนี้ก็ได้เหรอคะพี่ หรือหนูควรรีบหาคนมาแต่งงานดีไหมคะ
A: “หนูควรรีบหาคนมาแต่งงานดีไหม” นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหนูอย่างเดียว อยู่ที่โชคชะตาด้วยนะลูก ฮ่าๆ ของแบบนี้ถ้ามันมาก็มา และก็ไม่ควรจะอยากมีเพื่อเอาไว้อ้างกับที่ทำงานได้ว่าหนูอยู่ดึกไม่ได้นะคะพี่ขา
พี่คิดว่าแต่ละคนมีทางเลือกในชีวิตของตัวเอง เมื่อเลือกแล้วก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เลือก เพื่อนร่วมงานของน้องก็เหมือนกัน เวลาเขาแต่งงานมีลูกก็ไม่มีใครเว้าวอนเร้าหรือให้เขาแต่งงานมีลูกนะครับ เขาเลือกเอง แปลว่าเขาต้องรับผิดชอบกับชีวิตครอบครัวของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่ได้ไปขอให้เขาแต่งงานเถอะ มีลูกเถอะ เขาเลือกเอง เพราะฉะนั้น เมื่อเลือกแล้วต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมาโดยที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจะโสดก็ต้องรับผิดชอบ จะแต่งงานก็ต้องรับผิดชอบ จะอกหัก เลิกรากันไป หรืออยู่ในสถานะไหนก็ต้องรับผิดชอบกับชีวิตที่เราเป็นอยู่ไม่ให้เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น
ใครว่าคนโสดไม่มีภาระ คนโสดเขาก็ต้องมีชีวิตเหมือนกัน เขาไม่มีลูกไม่ได้แปลว่าเขาว่าง เขามีอะไรอีกหลายอย่างต้องทำไม่ต่างกัน เอางี้นะครับ ถ้าจะบอกว่าคนโสดไม่มีภาระ คนแต่งงานมีภาระแล้ว อ้าว! ก็เธอเลือกจะมีภาระเอง นั่นมันภาระของเธอ ไม่ใช่ภาระของฉัน แต่ถ้าเธอจะโยนงานมาให้ฉันทำมากกว่าเธอ นั่นเธอสร้างภาระให้ฉันแล้ว ตื่น!
ถ้าเราเอาสถานะมาพิจารณาผลการทำงานด้วยมันยิ่งตลกไปใหญ่นะครับ เพราะถ้ามองว่าคนโสดไม่มีภาระสามารถทำงานได้มากกว่า เติบโตได้มากกว่า อ้าว! งั้นคนก็ไม่อยากแต่งงานสิ เพราะแต่งงานแล้วเติบโตบนหน้าที่การงานยากแล้ว พี่ว่ามันไม่เกี่ยวกัน ชีวิตใครก็ต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมารับผิดชอบชีวิตเรา
ถ้ามีคนมาบอกพี่ว่า ท้อฟฟี่โสด งั้นท้อฟฟี่ทำงานเยอะกว่าเรานะ เพราะเราแต่งงานมีลูกแล้ว เราต้องรีบไปเลี้ยงลูก พี่ก็จะบอกว่า งั้นเอาเงินเดือนของคุณมาให้เราแล้วกัน ก็คุณจะให้เราทำงานส่วนของคุณ คุณไม่สมควรได้รับเงินเดือนส่วนนั้น โอเคมะ? เอากับผมไหมล่ะ ฮ่าๆ
เรายินดีทำงานได้นะครับ แต่ต้องไม่อยู่บนพื้นฐานของการเอาเปรียบกัน พี่คิดว่าเราต้องคุยกันแบบแฟร์ๆ เป็นกิจจะลักษณะ ต้องขีดเส้นให้ตัวเองว่าแค่ไหนได้ แค่ไหนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะมาเอาเปรียบเราได้ เรามีน้ำใจได้ แต่ไม่ได้มีน้ำใจแบบโง่ๆ พี่คิดว่าเราควรเลือกที่จะมีน้ำใจกับคนที่เราคิดว่าสมควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเพื่อนมนุษย์
คนที่สมควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเพื่อนมนุษย์สำหรับพี่คือคนที่พยายามจะช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ถ้ารู้ว่าตัวเองมีเงื่อนไขในชีวิตบางอย่างแต่เขาพยายามจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดกับคนอื่นให้ได้มากที่สุด เช่น รู้ตัวนะว่าอยู่ดึกไม่ได้ แต่ระหว่างที่เธออยู่ในที่ทำงาน เธอพยายามบริหารเวลาอย่างดีที่สุด ทำงานอย่างดีที่สุดแล้ว อันนี้ถ้าจะต้องมีงานเกินมาถึงเรา อย่างน้อยเรายังได้งานที่ดี ยังได้การแบ่งเบาภาระ ยังได้เห็นความพยายาม ความเกรงใจ ความห่วงใยในเพื่อนร่วมงานที่ต้องมารับงานต่อจากเขา แบบนี้ค่อยน่าช่วยเหลือหน่อย แต่ถ้าเธอไม่แม้แต่จะพยายามและยังมาโบ้ยงานให้คนอื่นทำเยอะกว่า อ้างไปทั่วไปทาง อันนี้เรียกว่าเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานและก็ไม่รักตัวเอง ใครจะไปอยากช่วยถ้าเธอจะไม่ทำอะไรเลย เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกไหม ฮ่าๆ
เป็นพี่ พี่จะดูความตั้งใจของเขานะครับ เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เราช่วยเหลือกันได้ ถ้าเป็นพ่อแม่ลูกอ่อน ลูกเพิ่งคลอด อันนี้เราช่วยเขาได้เพราะช่วงแรกๆ ชีวิตเขาทรหดจริง อดนอนมาแน่ๆ และพอเวลาผ่านไป เขาเริ่มอยู่ตัว เขาปรับตัวได้ ทุกอย่างมันก็จะดีขึ้น แต่เหมือนเดิมนะครับ ต้องดูพฤติกรรมเขาด้วยว่าเขาทำตัวน่ารักพอให้เราอยากช่วยเขาไหม
ไม่ว่าจะช่วย ช่วยมาก ช่วยน้อย หรือไม่ช่วยเลย เราต้องมีเงื่อนไข มีเหตุผลอยู่เสมอ ฉันยินดีช่วยเธอนะ แต่เธอเองก็ต้องช่วยฉันด้วย เธอส่งมอบงานที่ดีมาให้ฉันก่อน ฉันถึงจะช่วยเธอได้ต่อ แต่ถ้าเธอเอาเท้าเขี่ยๆ งานมา อันนี้เธอไม่ช่วยฉันแล้ว ฉันจะช่วยเธอก็ยากกว่าเดิม อย่างไรเธอก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในงานนี้ ไม่ใช่โยนตุ๊บมาให้ฉันแล้วเธอก็เปิดตูดหนีไป หรือขอโทษนะ ฉันไม่สามารถช่วยเธอได้จริงๆ ถ้าเธอจะโยนทุกอย่างมาให้ฉันหมดโดยที่เธอจะไม่ทำอะไรเลย เธอมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวแล้ว แต่เธอยังต้องรับผิดชอบต่อเรื่องงานเหมือนกัน เอางี้ไหม เธอช่วยบอกทีว่าเธอจะมีส่วนช่วยและมีส่วนร่วมอย่างไรเพื่อให้งานของเธอที่ฉันต้องช่วยเป็นคนทำต่อสามารถเป็นงานที่ดีได้ เธอบอกมา และที่จะช่วยนี่จะให้ช่วยถึงเมื่อไร ไม่ใช่ช่วยจนถึงลูกเธอรับปริญญาเลยนะ!
ในทางกลับกัน ถ้าเรารู้ว่าชีวิตเรามีเงื่อนไขบางอย่างที่อาจกระทบกับคนอื่น เราต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะจำกัดความเสียหายหรือความเดือดร้อนที่จะทำให้คนอื่นลำบาก คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ลองบริหารเวลาดู เราต้องพยายามก่อนแล้วถึงจะร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และเมื่อมีคนหยิบยื่นน้ำใจมาให้เรา อย่าลืมทำตัวน่ารักกับเขา เกรงใจเขาให้มาก เขาคือคนที่มาช่วยเหลือเราในยามเดือดร้อน อะไรที่เราจะช่วยให้งานที่เขารับต่อจากเราสามารถทำได้ง่ายขึ้นหรืออำนวยความสะดวกให้ได้มากที่สุด ให้เป็นภาระน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าเห็นเขาทำได้ก็โยนงานให้แบบไม่ดูแลใจคนทำเลย อันนี้ก็ไม่ถูกครับ และน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะให้คนที่มาช่วยเราก็เป็นเรื่องสำคัญครับ มันเป็นการบอกว่าเราไม่ลืมเขานะว่าเขาช่วยเรา เอาแค่เรื่องพื้นฐานที่สุดเลยคือพูดกับเขาดีๆ ให้เกียรติเขา และถ้าจะให้น่ารักขึ้น ซื้อขนมมาฝากเขาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ถามไถ่เขาบ้างว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ช่วยเขากลับคืนไปบ้าง อย่าเป็นผู้รับอย่างเดียว แต่เป็นผู้ให้คืนกลับไปบ้าง
เราอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน บางทีก็เหมือนอยู่ครอบครัวเดียวกันนะครับ อันไหนเราช่วยได้ ไม่เดือดร้อน ก็ช่วย ทำดีไว้ก่อน ถ้าเราเป็นที่รักของคนอื่น วันข้างหน้าเกิดลำบากอย่างน้อยความดีของเราก็น่าจะช่วยเราไว้ได้บ้าง ถ้าไม่เคยช่วยใครมาก่อนแล้วจะหวังให้เขามาช่วยเราก็คงยาก ขณะเดียวกัน การจะช่วยใคร เราไม่ควรปล่อยให้คนอื่นเหยียบย่ำเรา เรามีน้ำใจได้ครับ แต่ต้องไม่ให้น้ำใจของเรากลายเป็นการหล่อหลอมให้เพื่อนร่วมงานของเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าเราปล่อยให้เขาเอาเปรียบก็เท่ากับเราสนับสนุนให้เขาเป็นคนไม่ดี แปลว่าเราก็ทำร้ายเขาเหมือนกัน ปล่อยให้เขาทำร้ายเราและยังปล่อยให้เขากลายเป็นคนไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก คงไม่ใช่การเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีแน่ครับ
อย่าให้การเป็นคนดีของเรากลายเป็น ‘เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร’ เชียวครับ
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์