ปี 2568 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกธุรกิจไม่เว้นแม้แต่ ‘ธุรกิจอาหาร’ ซึ่งถือเป็นปัจจัย 4 สำหรับมนุษย์ที่ต้องกินอยู่ทุกวัน นั่นเพราะต่างได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่เปราะบางจากเศรษฐกิจที่ผันผวน
ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ฉายมุมมองว่า ความท้าทายที่ว่านั้นมาจากทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันค่อนข้างผันผวนและปั่นป่วนคือ สงครามที่ยืดเยื้อระหว่างประเทศทำให้เกิดการหยุดชะงักของระบบ Supply Chain โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางเรือ ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบ
ขณะที่ปัญหาหลักของประเทศไทยคือ หนี้ครัวเรือนซึ่งทำให้คนไทยมีกำลังซื้อที่ลดลง ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้า อย่างรัฐบาลปัจจุบันมีอายุเพียง 4 เดือน จึงสามารถดำเนินโครงการได้ในระยะสั้นเท่านั้น เช่นโครงการคนละครึ่งพลัสที่เน้นกลุ่มรากหญ้าช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากฟื้นตัวได้ดี และการกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยเที่ยวดีมีคืนสำหรับกลุ่มระดับกลาง
อย่างไรก็ตามมาตรการเหล่านี้เป็นเพียงระยะสั้นหลังจาก 4 เดือนไปแล้ว การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะทำให้เกิดความไม่นิ่งอีกครั้ง ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจใช้เวลา 6-8 เดือน ดังนั้นคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวจนถึงกลางปีหน้า ถึงอย่างนั้นเศรษฐกิจจะไม่ทรุดกว่านี้แล้ว
“ในภาวะที่เศรษฐกิจเปราะบางแบบนี้ สำหรับผู้ประกอบการสิ่งที่ต้องทำคือ ต้องทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม หากทำงานเท่าเดิมผลลัพธ์จะลดลง แต่ถ้าใครทำน้อยลงส่งผลถึงธุรกิจอย่างแน่นอน” ไพศาล ระบุ
สำหรับแนวโน้มของธุรกิจร้านอาหาร (F&B) หากมองไปจนถึงปี 2569 นั้น สามารถแบ่งออกเป็น
1. ภาคการท่องเที่ยวกับการพึ่งพาตลาดภายใน: การท่องเที่ยวของไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนหันไปกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศตนเอง รัฐบาลจึงต้องกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นมาตรการระยะสั้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจ F&B ดีขึ้น อย่างไรก็ตามอาหารไทยยังคงมีราคาไม่สูง มีความหลากหลายเมื่อเทียบกับทั่วโลก และภาพลักษณ์เปลี่ยนจากการเน้น Night Life มาสู่เสน่ห์ของ Street Food และร้านอาหารที่หลากหลาย
2. การจัดการต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบ: ภาวะเงินเฟ้อโลกและค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้นอย่างมาก เพื่อรักษาสมดุลด้านต้นทุนผู้ประกอบการควรหันมาใช้ วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Ingredient) ให้มากขึ้น
3. สงครามราคาและความคาดหวังด้านมูลค่า: ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการ คุณภาพที่ดีขึ้น แต่ไม่ต้องการจ่ายเงินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะสงครามราคาในตลาดร้านอาหาร อย่างกลุ่ม High End/Luxury (เช่น ร้านอาหารในโรงแรม, Omakase) เริ่มลดราคาลงมาแข่งขันกับกลุ่มกลาง ทำให้เป็นกลุ่มที่เจอความท้าทายมากที่สุด
ที่น่าสนใจคือข้อมูลการใช้จ่ายของคนทำงานใน One Bangkok พบว่า การใช้จ่ายค่าอาหารส่วนใหญ่ ต่ำกว่า 100 บาท โดยกลุ่มที่ขายดีที่สุดคือ ต่ำกว่า 60 บาท ขณะที่ค่าเครื่องดื่มกลับมีราคา 100 บาทขึ้นไปและขายดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยอมจ่ายเงินกับเครื่องดื่มมากกว่าอาหาร
“กลยุทธ์ที่ใช้ในการรับมือคือการทำ Segmentation และ Tiering โดยใช้ Price by Location (ราคาตามทำเลที่ตั้ง) แทนการลดราคาในทุกช่องทาง”
4. เทรนด์สุขภาพและความยั่งยืน: โดยเทรนด์สุขภาพยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ร้านอาหารส่วนใหญ่เริ่มนำเมนูเพื่อสุขภาพมาผสมผสาน และ Plant-based ยังคงขายได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ Plant-based ยังมีราคาที่สูงและรสชาติยังไม่ถูกปากคนไทย ขณะเดียวกันธุรกิจทุกประเภทต้องทำเรื่องความยั่งยืนเพื่อความอยู่รอด นโยบายความยั่งยืนช่วยควบคุมต้นทุน โดยเฉพาะการจัดการ Food Waste
5. เทคโนโลยีและประสบการณ์: ไม่ว่าจะเป็น การใช้ Cashless, Mobile Ordering, และระบบ POS เป็นสิ่งที่ทุกร้านต้องทำ มีการนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล, ตรวจจับการโกงในร้าน, และวิเคราะห์ความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงการมีบริการ Delivery ในแง่ของประสบการณ์ หากร้านอาหารที่ไม่มี Concept หรือไม่สร้าง Experience จะอยู่ยาก ขณะที่การมี Storytelling จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีได้
6. ปัญหาแรงงาน: ปัญหาเรื่อง Skilled Labor (เช่น เชฟ) เริ่มหาได้ยากขึ้น และมีค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อตัว ผู้ประกอบการจึงมีต้นทุนในการอบรมพนักงาน (Training Cost) สูงขึ้น เนื่องจากอัตราการลาออกที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ภายใต้กลุ่มธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟ ประกอบด้วยความหลากหลายของธุรกิจบริการอาหารที่มีศักยภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
โดยรวมพลังระหว่าง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด หรือ QSA (คิวเอสเอ), บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ OISHI (โออิชิ), และ บริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด หรือ FOA (เอฟโอเอ) ภายใต้วิสัยทัศน์ ONE FOODS GROUP: ONE FOOD – ONE TEAM – ONE GOAL และเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกัน
กลุ่ม QSA ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant หรือ QSR) เป็นหนึ่งในผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ซี เคเอฟซี ประเทศไทย ที่มีสาขามากที่สุด หรือกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ
กลุ่ม OISHI ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น มีแบรนด์/ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทาน ภายใต้ตราสินค้า โออิชิ อีทโตะ (OISHI EATO) อีกด้วย
กลุ่ม FOA ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารอย่างครบวงจร ตั้งแต่อาหารไทยทั่วทุกภูมิภาค, อาหารจีน, อาหารอาเซียน, อาหารชาติตะวันตก, รวมไปถึงเค้กและเบเกอรี่ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
“กลุ่ม QSA จะเน้นขยายสาขาเพื่อสร้างการเติบโต ขณะที่ OISHI จะรีแบรนด์ให้ทันสมัยมากขึ้นโดยเริ่มไปแล้วกับชาบูชิ โดยแบรนด์ต่อไปที่จะปรับคือโออิชิ อีทเทอเรียม ด้าน FOA จะเน้นเปิดและพัฒนาแบรนด์เพื่อเสริมให้กับอสังหาริมทรัพย์ในเครือเป็นหลัก”
ข้อมูล ณ กันยายน 2568 เครือไทยเบฟในประเทศไทยมีรวมทั้งสิ้น 882 สาขา แบ่งเป็นกลุ่ม QSA (KFC) 530 สาขา,กลุ่ม OISHI 269 สาขา และกลุ่ม FOA 63 สาขา
ภาพ: Mangkorn Danggura / Shutterstock


