จากเหตุการณ์ตัวโน้ตร่ำไห้ เมื่อ ประชาธิป มุสิกพงศ์ หรือสิงห์ Sqweez Animal นักดนตรีที่มีสำเนียงกีตาร์เป็นเอกลักษณ์หาตัวจับยากได้จากโลกนี้ไปในช่วงกลางดึกของวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับครอบครัว แฟนคลับ และคนในวงการเพลงเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้ยินสำเนียงกีตาร์หวานซึ้งจากนักดนตรีที่น่ารักและแสนอ่อนน้อมคนนี้อีกแล้ว
โดยเฉพาะในหัวใจของ วิน ศิริวงศ์ ผู้ปลุกปั้นวง Sqweez Animal ร่วมกับสิงห์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ที่ทำให้เขาอยู่ในภาวะโซซัดโซเซ หาทางออกไม่ถูก ถึงขนาดต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าในวันที่น้องชายคนนี้จากไป ตัวเขาจะยังมี ‘สิทธิ์’ ในการใช้ชื่อวง Sqweez Animal ต่อไปหรือเปล่า
หลังจากพยายามหาคำตอบนั้นอยู่หลายครั้ง เขาได้ร่วมงานกับนักกีตาร์ฝีมือดี ที่พร้อมยืนเคียงข้างในวันที่เขาลำบากที่สุด แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้ง ‘ช่องว่าง’ ที่สิงห์ทิ้งเอาไว้นั้นใหญ่เกินกว่าจะมีใครมาถมให้เต็ม จนสุดท้ายเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปี วินได้คำตอบสำคัญว่า ไม่มีใครแทนที่ใครได้ และกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับสมาชิกเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนให้วินและสิงห์ออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าได้อย่างมั่นคง ในชื่อ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew พร้อม 2 มือกีตาร์คนใหม่ ที่ไม่ต้องแบกความคาดหวังว่าจะต้องทำทุกอย่างให้ได้เหมือนที่สิงห์เคยทำไว้อีกต่อไป
เขาเลือกเพลง ขอบคุณทุกช่วงเวลา ที่เคยส่งเดโม่ให้สิงห์ฟังแต่ไม่มีโอกาสได้พัฒนาต่อ มาเพื่อขอบคุณแฟนเพลงที่คอยสนับสนุนมาตลอด และเป็นหมุดหมายในการเดินทางต่อไปของเขา รวมทั้งเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มสาม ที่สิงห์ได้รับรู้มาแล้วทั้งหมด เพื่อยืนยันกับทุกคนว่า ถึงแม้ตัวของสิงห์จะไม่ได้อยู่กับเรา แต่ ‘หลักฐาน’ ในการมีชีวิตอยู่ของเขาจะไม่มีวันเลือนหายไปไหน ไม่ว่าเส้นทางของ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew จะดำเนินไปในรูปแบบไหนก็ตาม
เพลง ขอบคุณทุกช่วงเวลา ของ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew
จำได้ว่าช่วงแรกๆ ที่สิงห์จากไป ทิศทางของวง Sqweez Animal มีหลายอย่างมาก ทั้งการที่คุณอาจกลายเป็นศิลปินเดี่ยว หรือการร่วมงานกับมือกีตาร์ฝีมือดีอย่างเท็ดดี้ วง Flure และเบิร์ด Desktop Error
หลังสิงห์เสียไป ก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมโซซัดโซเซไปหมด พยายามตะเกียกตะกายหาทางออกว่ามันควรเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าตอนนั้นผมพูดอะไรเกี่ยวกับทิศทางของ Sqweez Animal ออกไป มันจะเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ ทั้งการบอกว่า อาจจะเป็นศิลปินเดี่ยว จะหาสมาชิกใหม่ มันคือการตอบออกมาให้มีคำตอบ โดยคิดแทนคนฟังว่าเขาอยากได้ยินอะไร ผมคิดว่าเขาคงไม่อยากให้เป็นการสูญเสียซ้อนการสูญเสีย คือเสียมือกีตาร์ไปคนหนึ่ง แล้ววงหายตามไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ และผมก็ยังชอบร้องเพลง เล่นดนตรี ทำเพลงอยู่ดี เหตุการณ์นี้มันต้องไม่ใช่การอวสานของทุกๆ อย่าง
แต่ที่ผมไม่แน่ใจคือ เรายังมีสิทธิ์ใช้ชื่อ Sqweez Animal อยู่หรือเปล่า และคนจะรู้สึกอย่างไรกับผลงานชิ้นต่อไปที่ไม่ได้มีตัวตนของอีกคนอยู่แล้ว หรือเราควรจะใช้แค่ชื่อ วิน ศิริวงศ์ ไปเลยดี แต่พอเวลาผ่านไป ผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้หายไปไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำให้คนสับสนทำไมกับการที่ Sqweez Animal หายไป แล้วต้องเริ่มใหม่กับ วิน ศิริวงศ์ ซึ่งเพลงประมาณ 95% ของ Sqweez Animal ที่เอาไปเล่น ผมก็เป็นคนเขียน สิ่งที่ขาดไปคือ ซาวด์ดนตรีและเสื้อผ้าที่เอามาห่มเนื้อร้องและทำนองของผมเท่านั้นเอง
ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาหนึ่งคุณก็ค่อนข้างลงตัวกับการเล่นคู่กับมือกีตาร์คนใหม่ทั้ง 2 คนแล้วเหมือนกัน
ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น มันเป็นช่องโหว่ที่ต้องหาใครมาเติม เพื่อดำเนินการต่ออย่างที่ผมบอกไปให้ได้ คนแรกที่ผมนึกถึงก็คือ เท็ดดี้ ที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ส่วนเบิร์ด ผมไม่ได้สนิทกับเขาด้วยซ้ำ แต่ทุกคนพูดถึงว่า สิงห์ชอบไปดูวง Desktop Error และชอบการเล่นกีตาร์ของเบิร์ดนะ ทิศทางดนตรีก็ใกล้เคียงกัน ชวนมาดูไหม ผมก็คิดว่าลองดูแล้วกัน ไม่มีอะไรเสียหาย โชคดีที่ช่วงนั้นเหมือนเป็นระเบิดในวงการเพลง ตู้ม! แล้วทุกคนหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้นกับวงนี้ ทำให้เวลาติดต่อใครไป เขารู้ว่าผมต้องการอะไร และพร้อมให้ความช่วยเหลือ
พอผ่านไปพักหนึ่งก็รู้สึกว่า เบิร์ดมาเล่นก็ดี เท็ดดี้มาก็เวิร์ก หรือจะเอากีตาร์ 2 คนไปเลย แต่ในความเป็นจริงทุกคนก็มีวงของเขา เบิร์ดมีงานเต็มไม้เต็มมืออยู่แล้ว เท็ดดี้มีวง Flure แล้วเขาก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะเอาหรือไม่เอาดี เพราะแรงกดดันที่ต้องมาแทนสิงห์มันหนักมาก เป็นงานลำบากสำหรับใครก็ตามที่จะมารับหน้าที่นี้ ไหนจะต้องมาคอยตอบคำถาม ถูกเปรียบเทียบว่าเล่นได้ดีกว่า หรือแย่กว่า ถ้าเป็นสิงห์นะจะต้องเป็นแบบนี้ๆ
ตอนนั้นผมต้องลองผิดลองถูกเยอะมาก คอนเสิร์ตก็อยากให้เกิดขึ้น เพื่อบรรเทาจิตใจคนในวง โปรเจกต์อัลบั้มใหม่ที่คั่งค้างอยู่ก็อยากทำให้เสร็จ เพื่อให้ความฝันของเราไปต่อได้ สุดท้ายก็มามองความจริงที่เกิดขึ้น แล้วเห็นว่าผมมีสมาชิกในวงที่เล่นดนตรีสดกับผม และช่วยประคับประคองกันมาตลอด
กลับมาตั้งต้นที่ว่าสิ่งที่เรามีอยู่คืออะไร นอกจากสมาชิกในวง ก็มีน้องนัทมือกีตาร์ที่เป็นสามีของเพื่อน ลองชวนเขามาเล่นดูว่าเคมีตรงกันไหม ก็มีทั้งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตอนหลังก็ได้น้องนุ้กมาเป็นมือกีตาร์เพิ่มอีกคน ผมก็ต้องลดมาตรฐานตัวเองลงเยอะเหมือนกัน เพราะเวลาไปเล่นคอนเสิร์ต ซาวด์ก็ไม่เหมือนเดิม แต่ความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพราะไม่ต้องพยายามอุดรูรั่วตรงนั้นแล้ว กลายเป็นสนุกกับการทดลองทำอะไรใหม่ๆ ในขณะที่ยังอยู่ในกรอบเพลงของ Sqweez Animal อยู่มากกว่า
ใช้เวลานานขนาดไหน ถึงเปลี่ยนความคิดที่ว่าต้องอุดรอยที่สิงห์จากไป แล้วมาทำงานสร้างสรรค์ ทดลองทำอะไรที่สนุกๆ แทน
น่าจะประมาณหนึ่งถึงสองปีนะครับ จนมาถึงจุดที่เราเห็นว่าเรามีคนรอบๆ ตัวที่เขาทำเพื่อเราด้วยใจจริงๆ ทำให้ผมไม่ได้โฟกัสที่ตัวงานเท่าเดิม แต่มาเน้นบรรยากาศ เน้นมิตรภาพที่เกิดขึ้น เขาคือคนให้ใจกับเราเต็มร้อยจริงๆ เหมือนครอบครัวที่อยู่กันมานาน เอาไงเอากัน เขาพูดตลอดว่า ถ้าพี่ชอบหรือไม่ชอบตรงไหน บอกได้เลยนะ ถ้าเขามีตรงนั้น ผมคิดว่าเรื่องฝีมือหรือซาวด์ต่างๆ เดี๋ยวมันจะตามมาเอง
ยิ่งพยายามอุดรอยรั่วเท่าไร มันยิ่งเกิดความเครียดขึ้น เพราะเราพยายามไปทดแทนสิ่งที่ไม่สามารถทดแทนได้ กลายเป็นกดดันคนที่เข้ามาใหม่ แล้วไปไม่ถึงจุดนั้นสักที ก็ต้องปรับกันไปเรื่อยๆ แทนที่เมื่อก่อน Sqweez Animal จะเน้นกีตาร์มาก ก็ลดบทบาทลงมานิดหนึ่ง มีมือกลองอีกคนขึ้นมา ทำหน้าที่ทั้งเปิดแซมป์ฯ และเล่นกลองไฟฟ้า เปลี่ยนรูปแบบโชว์ ให้ไม่ต้องเอาภาระไปอยู่กับมือกีตาร์มากเกินไป คนที่เข้ามาใหม่เขาจะไม่กดดัน เพราะรู้ว่าไม่ต้องพยายามเป็นพี่สิงห์ เพราะพี่วินไม่ได้ขอให้เขาเป็นสิงห์แล้ว
แสดงว่าเมื่อก่อนคุณมีความรู้สึกอยากให้เบิร์ดหรือเท็ดดี้เป็นสิงห์มาก่อนเหรอ
ไม่เคย แต่ทุกคนเขาอยากสร้างเสียงดนตรีของสิงห์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร พยายามบิดกีตาร์หาเทคนิคอะไรต่างๆ มาใช้ หรืออย่างเบิร์ด เขาก็มีทางของเขา ไม่ได้พยายามเล่นให้เหมือน แต่เขารู้กรอบของ Sqweez Animal และไม่ออกนอกกรอบนี้ มีความเคารพในผู้วายชนม์ตรงนี้อยู่
คุณคิดว่าอะไรคือการกระทำเพื่อเคารพสิงห์ในฐานะผู้วายชนม์ได้ดีที่สุด
อย่างแรกคือ มุมของมือกีตาร์ที่เข้ามา ต่อให้เขาจะทำได้อย่างที่สิงห์เคยทำหรือไม่ ก็คือการเคารพสิงห์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าเขาทำได้ นั่นหมายความว่าเขาอยากทำให้ได้เหมือนสิงห์ และเขาพยายามอย่างมาก จนในที่สุดเขาก็ทำได้จริงๆ และถ้าเขาทำไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่สิงห์ทำเอาไว้นี่สุดยอดจริงๆ
ส่วนตัวของผมก็พยายามสื่อสารออกมาตลอดว่าสิ่งที่สิงห์ทำเป็นสิ่งที่พิเศษ ผมไม่สามารถหาคนแทนได้หรอก วันนี้ผมมีน้อง 2 คนนี้มาช่วยเล่นกีตาร์ ถือว่าเป็นงานหนักมากๆ สำหรับเขา ฝากทุกคนปรบมือให้กำลังใจเขาด้วยนะครับ
ส่วนฝั่งแฟนเพลง ผมคิดว่าแฟนเพลงของ Sqweez Animal น่ารักอยู่แล้ว เพราะผมไม่เคยเห็นคอมเมนต์ด้านลบเลย ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดหรือทำได้ไม่ดีตามมาตรฐานที่เราเคยเป็น เต็มที่คือบอกว่า คิดถึงซาวด์กีตาร์ของสิงห์จังเลย มีนักเลงคีย์บอร์ดน้อยมากที่จะเข้ามาบอกว่าเล่นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เห็นทำได้ดีเท่าสิงห์เลย
ต่อให้สุดท้ายชื่อวงของพวกเราจะเป็นอย่างไร แต่ทุกอย่างที่สิงห์เคยฝากเอาไว้ ก็จะไม่มีวันหายไปอย่างแน่นอน
หลังผ่านการทดลองอะไรมาหลายอย่าง สุดท้ายมาลงตัวที่ชื่อ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew ได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ Sqweez Animal คือวินกับสิงห์ชัดเจนมาก อาจจะมีการแนะนำสมาชิกคนอื่นให้แฟนเพลงรู้จักอยู่บ้าง แต่ก็จะไม่ใช่คนที่อยู่บนปกหรือเป็นแนวหน้าของวงนี้ แต่อย่างที่บอกไปว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คนที่อยู่แนวหลังเหล่านี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่หายไปไหน สายเลือดเขาคือ Sqweez Animal แท้ๆ เขาคู่ควรที่จะมีชื่อกับวงนี้ในฐานะแถวหน้า ให้คนรับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่นะ ก็เลยตัดสินใจว่าชื่อ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew นี่แหละชัดเจนที่สุด และ Crew ในที่นี้ ไม่ใช่แค่นักดนตรี แต่หมายถึงใครก็ตามที่ผลักดันพวกเราอยู่ เป็นทีมงานทั้งหมดของ Sqweez Animal ที่ทำให้วินกับสิงห์อยู่ข้างหน้าได้อย่างที่เคยเป็น
เป็นไปได้ไหมว่าที่คุณพยายามยึดชื่อ Sqweez Animal เอาไว้ เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะถ้าทิ้งชื่อของสิงห์ไปสักคน วง Sqweez Animal อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าเดิม
(คิดนาน) คิดมุมนั้นก็ได้นะ แต่ด้วยความสัจจริง ผมไม่ได้ยึดติดกับความสำเร็จมากนักในเรื่องนี้ เพราะ Sqweez Animal ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เราก็ดันตัวเองขึ้นมาถึงขีดนี้ได้ เพราะเราทำทุกอย่างในแบบที่เรารัก ไม่ได้เริ่มต้นว่าเราจะทำเพลง เพราะอยากประสบความสำเร็จ
ก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดว่าจะจบชื่อ Sqweez Animal ไปเลยเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกว่า ผมคิดถึงความรู้สึกของแฟนเพลงว่าเขาจะใจหาย ถ้าวงนี้หายไปจริงๆ มากกว่า แล้วต่อให้ผมทิ้งชื่อนี้ไป ก็มั่นใจว่าผมจะยังทำงานแบบนี้เป๊ะเลย ร้องเพลงแบบนี้ ทำงานกับคนกลุ่มนี้ สิ่งที่ลำบากใจมีเพียงอย่างเดียวคือ มันไม่มีสิงห์แล้วเท่านั้นเอง แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ให้คำตอบกับตัวเองไว้ว่า โปรเจกต์ของอัลบั้มสามที่เหลืออีก 7-8 เพลง เป็นเพลงที่สิงห์ได้ฟังหมดแล้ว อย่างน้อยเขารับรู้ว่ามันจะมีเพลงเหล่านี้อยู่ เรายังมีสิทธิ์ที่จะใช้ชื่อนี้ได้ แต่อย่างที่บอกว่ามันจะไม่ใช่ Sqweez Animal เฉยๆ อีกต่อไป
หมายความว่าความสงสัยในเรื่องชื่อวงจะได้รับคำตอบหลังจากจบอัลบั้มที่ 3 ไปแล้ว
ใช่ครับ สุดท้ายคำตอบจะอยู่ที่ผลงานและวิธีการทำงานจากนี้ไป ถ้าเพลงหลังจากอัลบั้มนี้เกิดจากการแจมกันของวงนี้ทั้งหมด ผมอาจจะตัดคำว่า Sqweez Animal ออกไปก็ได้ เพราะอย่างที่บอกว่าชื่อนี้สำคัญมาก และผมไม่แน่ใจว่าจะมีสิทธิ์ใช้ชื่อนี้หรือเปล่า คิดว่าอาจต้องใช้เวลาสักพักเพื่อหาคำตอบ เพราะวางแผนไว้ว่า โปรเจกต์อัลบั้มนี้อาจต้องใช้เวลานาน แต่ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร มันจะเป็นคำตอบที่ผ่อนคลายและชัดเจนมากขึ้น ไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่คิดแค่ว่าต้องพยายามอุดช่องโหว่ของสิงห์ให้ได้
กลัวไหมว่าถ้าเป็นแบบนั้นแล้ววันหนึ่งชื่อของสิงห์อาจจะหายไปจริงๆ
ไม่เคยเลยครับ เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาจะยังอยู่ตรงนั้นเสมอ หลักฐานการมีอยู่ของเขาชัดเจนอยู่แล้ว ใครอยากรู้ว่าจุดเริ่มต้นของ Sqweez Animal คืออะไร เขาก็กลับไปฟังได้ทุกเมื่อ สิ่งที่สิงห์ทำเอาไว้จะไม่มีวันหายไปไหน สิ่งสำคัญกว่าความกลัวในตอนนี้คือ ผมจะทำอย่างไรให้เล่นคอนเสิร์ต สร้างผลงาน ทำงานออกมาแล้วทำให้ทั้งทีมงานและคนฟังมีความสุขที่สุด
กรอบรูปของสิงห์ที่วินเลือกขึ้นไปวางไว้ในคอนเสิร์ตเปิดซิงเกิล ขอบคุณทุกช่วงเวลา
ตอนที่สิงห์ฟังเดโม่เพลง ขอบคุณทุกช่วงเวลา เขาให้ฟีดแบ็กกลับมาอย่างไรบ้าง
พูดแค่ว่า “ก็ดีหนิพี่” (หัวเราะ) ซึ่งเป็นเรื่องปกติของพวกเราอยู่แล้ว ผมจะเป็นตัวพ่นความฝันออกมาเรื่อยๆ ส่วนเขาเป็นคนซัพพอร์ต เขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน และพูดกับผมว่า เขาแค่อยากทำเนื้อเพลงที่ผมเขียนขึ้นมาให้มันดีขึ้นอีก พอผมส่งเพลงอะไรให้ฟัง เขาจะพูดน้อย พยักหน้าหงึกๆ หายไปสักพักแล้วกลับมาพร้อมดนตรี เขาขอแค่นั้น และทำหน้าที่ตรงนั้นอย่างดีมาโดยตลอด
คุณเคยพูดเอาไว้ว่าในเพลง ขอบคุณทุกช่วงเวลา ไม่ได้ทำออกมาเพื่อขอบคุณแค่ช่วงเวลาดีๆ แต่หมายถึงทุกช่วงเวลาที่ไม่ดีในชีวิตด้วย
ผมมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในปัจจุบันที่ได้ร่วมงานกับพี่เมธี (เมธี น้อยจินดา มือกีตาร์วง Moderndog) ได้ทำวง Ghost Cat ขึ้นมา ได้ไปร่วมงานกับพี่บอย โกสิยพงษ์ ฮีโร่ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นของผม รวมทั้งมิตรภาพและโอกาสใหม่ๆ อีกหลายอย่าง
ย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ Sqweez Animal ก็ไม่ใช่ทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เราเคาะประตูค่ายเพลงหลายค่าย แล้วเขาไม่เปิดประตูรับ เราก็ยังขอบคุณความตกต่ำช่วงนั้นที่ทำให้เรามาเจอค่าย SpicyDisc ที่ให้อิสรภาพในการทำงานกับเราแทบทุกอย่าง
หรือก่อนหน้าที่จะเหลือแค่วินกับสิงห์ Sqweez Animal ก็เคยอยู่กันเต็มวงมาก่อน แล้วค่อยๆ หายไปทีละคน ซึ่งอาจจะเป็นโชคดีในโชคร้าย เพราะถ้าไม่เหลือกันแค่สองคน พวกเราอาจทะเลาะกันจนวงแตก คุมสถานการณ์ไม่อยู่ แล้วอาจจะไม่มี Sqweez Animal แล้วก็ได้
เมื่อก่อนเวลาเห็นวงดนตรีอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงหรือสูญเสียสมาชิกบางคนไปด้วยเหตุผลต่างๆ คุณรู้สึกอย่างไร และเมื่อเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน
เวลาเกิดกับวงอื่น ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนความสัมพันธ์ทั่วไปที่มีพบก็มีจากตามปกติ พอเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมก็ยังมองว่าเป็นเรื่องปกติอยู่ดี เพียงแต่ทำใจรับมันได้ยาก ช่วงแรกผมเลยพยายามหาอะไรทำให้เยอะที่สุด ทั้งงานดนตรี ฟีเจอริงกับคนโน้นคนนี้ ซื้อสัตว์เลี้ยง เข้ามาดูแลธุรกิจที่บ้านเต็มตัวมากขึ้น ทำตัวเองให้ยุ่ง เพื่อไม่ให้จมอยู่กับเรื่องนั้นมาก
ผมอาจจะโชคดีที่เป็นคนฝึกสมาธิและค่อนข้างมีสติกับปัญหาต่างๆ พอสมควร เวลาเจออะไรที่ประเดประดังเข้ามา แทนที่ผมจะไปแพนิกกับมัน ก็นิ่ง แล้วดูว่ามีอะไรที่เราทำได้ตอนนี้ ลองทำให้หมด สำคัญคือเราต้องไม่หยุดลอง ปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ก็พักไว้ก่อน ทุกคนมีปัญหาที่ต้องเผชิญ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรับมือได้มากหรือน้อยแค่ไหน แต่สุดท้ายจะเจอทางออกได้ในที่สุด
ความเศร้ามันเปลี่ยนไป แล้วเหตุการณ์ที่เขาจากไป ก็ทำให้ผมลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองหลายอย่าง
ตาม Kübler-Ross Model (เอลิซาเบธ คูเบลอร์-รอส จิตแพทย์ชาวสวิส) ที่แบ่งปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการสูญเสียเป็น 5 ระยะ คือ ปฏิเสธความจริง, โกรธ, ต่อรอง, ซึมเศร้า และยอมรับ สำหรับคุณมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่คนสำคัญอย่างสิงห์จากไปอย่างไรบ้าง
ข้ออื่นๆ คงปนกันอย่างละนิดละหน่อย แต่เรื่องโกรธสิงห์นี่ไม่มีเลย ถ้าชัดหน่อยคือความเศร้าที่มีแน่ๆ แต่ผมไม่ได้เศร้าที่เขาจากไป ไม่ได้เศร้าว่ามือกีตาร์หายไปคนหนึ่งแล้วจะทำอย่างไรดี แต่เศร้าในมุมชีวิตของเขา เพราะชีวิตของเขาสำคัญกว่าวง Sqweez Animal อยู่แล้ว ยังมีอะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาได้เยอะมาก เขามีสิทธิ์ได้เห็นน้องชายเขาแต่งงาน มีสิทธิ์เห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของบ้านเมือง มีสิทธิ์เห็นวงดนตรีที่เขาชอบมีผลงานใหม่ๆ ที่เจ๋งมาก หรือเขาอาจจะได้ร่วมงานกับพี่เมธี ที่เป็นไอดอลของเขามาตลอดในเพลง ขอบคุณทุกช่วงเวลา ก็ได้ มันมีโอกาสหลายอย่างที่หายไป ผมคิดว่าถ้าเขามีความสามารถพิเศษมองเห็นอนาคต เขาอาจจะคิดอีกแบบหนึ่งก็ได้นะ
ไม่โกรธสิงห์ แต่มีความรู้สึกโกรธตัวเองบ้างไหม
อันนี้มีครับ รู้สึกเยอะเหมือนกันนะ คือช่วงหลังๆ ที่สิงห์ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็รู้สึกว่าเราห่างกัน ซึ่งถ้าย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่รู้จักกัน เราใกล้กันมาก คุยกันแทบทุกเรื่อง มีเวลาให้กันเยอะ แต่พอห่างกันปุ๊บ ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ความสัมพันธ์ของเรามันเปลี่ยนไปตอนช่วงไหน ที่ทำให้เราไม่ใกล้กับเขาเหมือนช่วงแรกๆ ก็จะมีตำหนิตัวเองตรงนั้น นึกไม่ออกเหมือนกันว่าอะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่ก็พอยอมรับได้ว่าเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ผมเปลี่ยน เขาก็เปลี่ยน แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันนะ ที่จะรู้สึกว่าถ้าเราโฟกัสกับอะไรก็ได้ที่ทำให้เรายังใกล้ชิดกันอยู่ ยังคุยได้อยู่ มันอาจจะไม่จบแบบนี้
นานแค่ไหนกว่าจะพาตัวเองออกมาจากความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นได้
ไม่แน่ใจว่านานขนาดไหน แต่อย่างหนึ่งคือ โชคดีที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้แบบเต็มๆ โอเคว่าในฐานะเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุด ผมก็มีบทบาทในชีวิตเขามาก แต่เขายังมีครอบครัวที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าผมอีก คนพวกนั้นเขาจะรู้สึกอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าใครจะผิดกว่าใครนะ แต่ผมรู้ว่ามีคนที่รู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ พอมองเห็นความทุกข์ของคนอื่นปุ๊บ ความทุกข์ของเราก็เล็กลง
การต้องพูดถึงสิงห์บ่อยๆ ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง การที่เราถามคุณย้ำๆ อย่างนี้ ยิ่งทำให้คุณต้องนึกถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดมากขึ้นหรือเปล่า
จริงๆ ไม่เกี่ยวกับตัวผมเลย ผมพูดเพราะคนต้องการฟังคำตอบ ผมแค่ตอบด้วยความจริงเท่าที่ผมทราบ ไม่ได้ไปแตะเรื่องความเศร้าเท่าไร อย่างเมื่อกี้ที่ถามว่า ผมพาตัวเองออกมาจากความรู้สึกผิดได้อย่างไร มันก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หนัก ที่ทำให้เศร้า ซึ่งไม่ค่อยได้พูดออกมา
แสดงว่าเราไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้มากกว่านี้แล้วใช่ไหม
(หัวเราะ) พูดได้ๆ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ทุกวันนี้ผมยังคิดถึงเขาอยู่ อย่างที่บอกว่ามันเหลือแค่ความเสียดายมากกว่า เวลาฟังเพลงใหม่ๆ หรือจะทำเพลงอะไร ก็จะคิดถึงเขา เพราะเมื่อก่อนเราจะแชร์เรื่องพวกนี้กันตลอดเวลา ความเศร้ามันเปลี่ยนไป แล้วเหตุการณ์ที่เขาจากไป ก็ทำให้ผมลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองหลายอย่าง
ที่ดีที่สุดคือ ทำให้ผมได้มาทำงานบริหารธุรกิจที่บ้าน (บริษัท โฟลว์โก้ จำกัด) เต็มตัวมากขึ้น เพราะคุณพ่อผมอายุมากแล้ว ผมเป็นลูกชายคนเดียว ส่วนพี่สาวกับน้องสาวอยู่ต่างประเทศ จากการคลุกคลีในธุรกิจมาสักพักหนึ่ง ผมรู้สึกว่าสามารถทำตรงนี้ได้ จนตอนนี้เรียกว่า รับงานจากคุณพ่อเกือบ 100% แล้ว ผมได้เห็นคุณพ่อไปเที่ยวต่างประเทศทีหนึ่ง 2 เดือน โดยที่ไม่ต้องแคร์อะไร เขาได้ใช้เงินที่สร้างขึ้นมาอย่างเต็มที่ ก่อนที่เขาจะอายุมากกว่านี้ และต้องใช้เงินหมดไปกับการเข้าโรงพยาบาล
เราได้ยินมาตลอดว่าคุณเป็นนักดนตรีที่ให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมมาก อย่างคอนเสิร์ต Sqweez Animal Let’s Glow Party ในปี 2555 ก็ต้องซ้อมวันละ 8 ชั่วโมง พอเปลี่ยนมาทำงานบริหารเต็มตัว ยังมีเวลาให้กับเรื่องพวกนี้อยู่ไหม
จริงๆ เรื่องการซ้อมหนักของวงก็เป็นไอเดียของสิงห์นะ เห็นไหมว่าสุดท้ายพูดอะไรถึง Sqweez Animal ก็จะมีเรื่องของสิงห์มาเกี่ยวหมด (หัวเราะ) สิงห์เขาชัดเจนว่าเป็นนักดนตรีต้องซ้อมให้หนักมาตั้งแต่ต้น ผมกับ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew ก็ยังหาเวลาซ้อมให้ได้ครั้งละ 3-4 ชั่วโมง แต่การซ้อมมันเปลี่ยนไปจากการฝึกสกิล ไปเป็นการออกแบบโชว์มากกว่า ผมไม่ชอบเห็นอะไรที่เหมือนเดิม เพราะผมเอาใจผมไปใส่ใจแฟนเพลงเยอะมาก ว่าถ้าดูแล้วเหมือนเดิมเขาจะดูไปทำไม ทั้งการขึ้น การจบ การใส่กิมมิกต่างๆ หรือการรีอะเรนจ์เพลงใหม่ๆ ในทุกโชว์ ก็พยายามคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น
แล้วตอนนี้ผมทำห้องซ้อมไว้ที่บ้าน ก็เกิดขึ้นเพราะการจากไปของสิงห์อีกเหมือนกัน มันเริ่มจากทุกคนในวงเศร้า มารวมตัวกันที่บ้านผม ผมเห็นว่ามีห้องว่างอยู่หนึ่งห้อง ก็ลองเอาเครื่องดนตรีมาตั้งแล้วเล่นดนตรีกันก่อน ซ้อมไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าทำเพลงเลยแล้วกัน ก็พัฒนาห้องซ้อมจนกลายเป็นห้องอัดคุณภาพดีเลย แล้วไม่ใช่แค่พวกผม วง Ghost Cat หรือวงอื่นๆ ที่รู้จักกันก็มาใช้ อย่างเพลง ขอบคุณทุกช่วงเวลา ก็ทำทุกขั้นตอนในห้องนี้หมด จะทำอะไรก็มาที่นี่ กลายเป็นจุดรวมพลที่เราต้องมาเจอกันแบบวันเว้นวัน หรือบางอาทิตย์เกือบทุกวันเลยก็มี
เหมือนเป็นเชื้อเพลิงของการทำงานหนักที่สิงห์ทิ้งเอาไว้ เพื่อให้พวกเรานำมาสร้างสรรค์ผลงานของ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew ในวันที่ตัวเขาจากไป แต่อย่างที่ผมบอกไปว่า ต่อให้สุดท้ายชื่อวงของพวกเราจะเป็นอย่างไร แต่ทุกอย่างที่สิงห์เคยฝากเอาไว้ ก็จะไม่มีวันหายไปอย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- สมาชิกของ Sqweez Animal by Win & The SQ Crew ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 คน คือ วิน ในฐานะนักร้องนำ, อายุ ในตำแหน่งแซมป์ฯ และเพอร์คัสชัน, น้อต มือกลอง, หลิบ มือเบส, ขลุ่ย มือคีย์บอร์ด และมือกีตาร์ใหม่ 2 คน คือ นัทและนุ้ก
- บริษัท โฟลว์โก้ จำกัด ที่วินทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ คือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลและให้บริการปั๊มน้ำมัน ตั้งแต่จำหน่ายอุปกรณ์ ติดตั้งระบบ และบริการหลังการขาย ฯลฯ แบบครบวงจร