×

ทำไมแอสตัน มาร์ติน จึงคว้าชัยในการโน้มน้าวใจ เอเดรียน นิวอี

12.09.2024
  • LOADING...
แอสตัน มาร์ติน

ไม่ใช่เรื่องปกติที่การย้ายทีมของคนที่ไม่ใช่นักแข่งในศึกฟอร์มูลาวัน (F1) จะได้รับความสนใจและพื้นที่สื่อมากมาย แต่ในวันที่ เอเดรียน นิวอี ตกเป็นข่าวว่าเขาบรรลุข้อตกลงกับแอสตัน มาร์ติน ในวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา หรือว่าวันที่นักออกแบบรถรายนี้เปิดตัวกับทีมใหม่เมื่อวันที่ 10 กันยายน ก็ล้วนแต่เป็นข่าวใหญ่ทั้งสิ้น

 

นั่นแสดงให้เห็นว่านิวอีทรงอิทธิพล และมีความสำคัญในวงการรถสูตรหนึ่งมากมายขนาดไหน

 

ในฐานะนักออกแบบรถที่เคยคว้าแชมป์โลกมาแล้ว 25 ครั้ง แบ่งเป็นประเภทบุคคล 13 สมัย และประเภททีมผู้ผลิตอีก 12 สมัย นิวอีกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ใครๆ ต่างก็อยากพึ่งพาฝีมือของเขา เพื่อให้ทีมของตัวเองไปสู่จุดสูงสุด

 

นับตั้งแต่วันที่เขาได้รับการยืนยันว่าแยกทางกับทีมเรดบูล เรซซิง เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เขาก็ตกเป็นข่าวมากมายกับทีม F1 ชั้นนำ โดยเฉพาะกับ 2 ทีมหัวแถวอย่างเฟอร์รารีและเมอร์เซเดส ยิ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่าคุณค่าของช่างเทคนิคผู้มองเห็นสายลมคนนี้มีสูงแค่ไหน

 

และสุดท้ายเขามาลงเอยที่แอสตัน มาร์ติน ด้วยสัญญายาว 5 ปี รับค่าแรงสูงสุดถึงปีละ 30 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,315 ล้านบาท โดยมีการเปิดตัวไปเมื่อสองวันที่ผ่านมา (10 กันยายน)

 

การเปิดตัวกับแอสตัน มาร์ติน ครั้งนี้แม้จะดูงดงามและสมเหตุสมผล แต่ก็มีคำถามตามมาเช่นกันว่า ‘ทำไมนิวอีถึงเลือกแอสตัน มาร์ติน?’

 

บางคนอาจจะพูดถึงตัวเลข 30 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นตัวเลขที่ยากจะปฏิเสธ เพราะหากนำเอามา Breakdown แล้ว หมายความว่าเขาจะได้ค่าแรงสัปดาห์ละ 625,000 ปอนด์ หรือราว 27.4 ล้านบาท หรือวันละ 89,000 ปอนด์ ประมาณ 3.9 ล้านบาท ซึ่งหากคิดเป็นนาทีคือนาทีละ 62 ปอนด์ หรือราว 2,720 บาทเลยทีเดียว

 

แต่สำหรับนิวอีแล้ว ตัวเลขน่าจะเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยเท่านั้น และตัวเขาก็ยังมีเหตุผลอื่นๆ ในการตัดสินใจเลือกอยู่กับทีมสัญชาติอังกฤษทีมนี้ด้วย และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าเหล่านั้น

 

การให้คุณค่าในตัวเขา

 

 

หลังจากนิวอีตัดสินใจออกจากเรดบูล เรซซิง ในช่วงการแข่งขันเจแปนนิสกรังด์ปรีซ์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในตอนนั้นเขายังลังเลใจว่าต้องการทำอะไรต่อไป

 

ตอนแรกเขาและ อแมนดา ภรรยาของเขา ตั้งเป้าที่จะพักจากศึก F1 ซึ่งเป็นเหตุผลที่เหมาะสมสำหรับคนที่ทำงานมาอย่างยาวนาน และบางทีนั่นอาจเป็นการพักถาวรจากวงการรถสูตรหนึ่ง และอาจทำให้เขาไม่กลับมาที่ F1 อีกเลยก็เป็นได้

 

แต่หลังจากนั้นความสนใจจากทีมต่างๆ ก็พุ่งมาที่เขาอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามติดต่อเขาเพื่อดึงตัวเขาไปร่วมงาน นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขายังมีคุณค่าและความสำคัญสำหรับวงการนี้ และทำให้วิศวกรวัย 65 ปีรายนี้เปลี่ยนใจเพื่อกลับมาพิจารณาข้อเสนอจากทีมต่างๆ อย่างจริงจัง

 

จนในที่สุดเขาได้พูดคุยกับ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ เจ้าของทีมแอสตัน มาร์ติน จนทำให้เขาได้รู้ถึงความทะเยอทะยานและความกระตือรือร้นของแอสตัน มาร์ติน นั่นทำให้เขาเองก็ได้รับแรงบันดาลใจในการกลับมาทำงานต่ออย่างเต็มเปี่ยม และรู้สึกมีคุณค่าในวงการนี้อย่างเต็มที่อีกครั้ง 

 

หนึ่งในสิ่งที่พิสูจน์ความจริงใจของแอสตัน มาร์ติน ที่มีต่อตัวนิวอีได้ดีคือการให้เกียรติเขา เพราะแทนที่จะจัดการเรื่องนี้แบบง่ายๆ ได้ด้วยการส่งข่าวประชาสัมพันธ์ให้สื่อมวลชน พวกเขากลับเลือกจัดงานแถลงข่าวอย่างเต็มรูปแบบที่ศูนย์บัญชาการของทีมในซิลเวอร์สโตน ทั้งที่อยู่ระหว่างการแข่งขันกลางฤดูกาล 

 

ซึ่งที่นั่นสโตรลล์ก็ขึ้นกล่าวในงานแถลงข่าวด้วยถ้อยคำอันให้เกียรติต่อนิวอีเป็นอย่างมากด้วย โดยกล่าวว่า “เอเดรียนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในสิ่งที่เขาทำ ไม่มีใครเข้าใกล้การคว้าแชมป์โลกได้มากเท่านี้อีกแล้ว

 

“เขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาเป็นผู้ชนะ เขาเป็นผู้ชอบการแข่งขัน และเขามีความหลงใหลและปรารถนาที่จะชนะ เช่นเดียวกับผมและคนส่วนใหญ่ในอาคารนี้”

 

และในงานเดียวกันนั้น นิวอีก็ให้เหตุผลที่เลือกแอสตัน มาร์ติน โดยพูดถึงสโตรลล์อย่างให้เกียรติเช่นกัน โดยกล่าวว่า “ความหลงใหล ความมุ่งมั่น และความกระตือรือร้นของลอว์เรนซ์ช่างน่ารักเหลือเกิน มันชวนหลงใหลมากจริงๆ”

 

การมีส่วนร่วมตั้งแต่จุดเริ่มต้น

 

 

นิวอีมีตัวเลือกในวงการ F1 มากมาย นับตั้งแต่วันที่เขาก้าวออกมาจากเรดบูล เรซซิง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญมาตลอดนั่นคือ การมีส่วนร่วมกับโปรเจกต์มาตั้งแต่จุดเริ่มต้น

 

ตลอดอาชีพของนิวอีเขาเคยร่วมงานกับวิลเลียมส์, แม็คลาเรน และเรดบูล มาแล้ว เขาเลือกจะเข้าสู่ทีมเหล่านั้นในช่วงการเริ่มต้นสร้างทีม และช่วยนำพาทีมเหล่านั้นไปสู่ความสำเร็จได้ในท้ายที่สุด 

 

ที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งคือ เขามักเลือกออกจากทีมในวันที่ทีมเหล่านั้นอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว

 

และการทำงานกับแอสตัน มาร์ติน ครั้งนี้ ก็เป็นเพราะเขาได้คุยกับ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ ถึงโปรเจกต์ของทีมที่กำลังจะถูกสร้างขึ้น ซึ่งมันตรงกันกับจริตของนิวอีมาตลอด

 

“นั่นคือความท้าทายใหม่ แรงกระตุ้นใหม่ ผมมักจะทำในสิ่งที่ผมรู้สึกว่าจำเป็นสำหรับทีมที่ดีที่สุดเสมอ” นิวอีกล่าว

 

“เห็นได้ชัดว่าผมต้องการเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง การย้ายทีมเป็นความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ในการพยายามทำความเข้าใจว่าทุกคนทำงานอย่างไร มีส่วนร่วมกับพวกเขาและมีส่วนร่วมในการออกแบบสิ่งต่างๆ หากจำเป็น มันต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่น ดังนั้นแน่นอนว่าเมื่อผมเริ่มต้นแล้วผมก็จะพร้อมเต็มที่ ผมต้องเป็นเช่นนั้น ผมต้องเป็นอย่างนั้น”

 

เจ้าของทีมยุคเก่า

 

 

 

เมื่อเขาขึ้นเวทีที่ซิลเวอร์สโตนเป็นครั้งแรก นิวอีให้คำตอบง่ายๆ เพียงคำเดียวว่าทำไมเขาถึงเลือกแอสตัน มาร์ติน

 

“ลอว์เรนซ์” นั่นคือเหตุผลที่ออกมาจากปากเขา

 

แต่ไม่ใช่แค่บุคลิกและความทะเยอทะยานของสโตรลล์เท่านั้นที่ทำให้เอาชนะใจนิวอีได้ แต่มันยังมีองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงหลายครั้งนั่นคือ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ เป็นเจ้าของทีมแบบเก่า

 

นิวอีเคยมีประสบการณ์โดยตรงในการทำงานกับบรรดาเจ้าของทีมที่ลงมาลุยงานหน้าสนามในวงการ F1 มาแล้วหลายต่อหลายคน ยกตัวอย่างเช่น ดีทริช มาเทสชิตซ์ ที่เรดบูล เรซซิง, รอน เดนนิส ที่แม็คลาเรน และ แฟรงก์ วิลเลียมส์ ที่วิลเลียมส์ 

 

การได้ทำงานกับ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ คือการได้เห็นภาพทับซ้อนกับการทำงานกับบรรดาเจ้าของทีมทั้งหมดที่กล่าวมาเช่นกัน

 

นิวอีกล่าวว่า “ความจริงก็คือ หากคุณย้อนอดีตกลับไปสัก 20 ปี สิ่งที่เราเรียกว่าหัวหน้าทีมในปัจจุบันนั้น แท้จริงแล้วคือเจ้าของทีม ไม่ว่าจะเป็น แฟรงก์ วิลเลียมส์, รอน เดนนิส, เอ็ดดี จอร์แดน

 

“ในยุคสมัยใหม่นี้ ลอว์เรนซ์เป็นคนที่ไม่เหมือนใครจริงๆ เขาเป็นเจ้าของทีมเพียงคนเดียวที่ยังคงทำงานอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไปเมื่อคุณมีคนอย่างลอว์เรนซ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงาน มันเหมือนกับการกลับไปสู่รูปแบบเก่าๆ”

 

นิวอียังกล่าวอีกว่า เขาและสโตรลล์คุยกันเป็นประจำตลอดหลายปีที่ผ่านมา นั่นทำให้พอได้มาทำงานร่วมกันจริงๆ จึงง่ายต่อการตัดสินใจ เพราะต่างรู้นิสัยใจคอกันดีอยู่แล้ว

 

การเยี่ยมชมโรงงานลับ

 

 

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แอสตัน มาร์ติน เอาชนะใจ เอเดรียน นิวอี ได้นั่นคือ การที่เขาได้ไปเยี่ยมชมโรงงานลับของทีม ณ ซิลเวอร์สโตน ที่หลายคนพูดถึงกัน

 

โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่สโตรลล์พยายามโน้มน้าวใจนิวอีอย่างเต็มที่ เพราะเขาได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่แอสตัน มาร์ติน พยายามจะทำ และนั่นคือแวบหนึ่งของศักยภาพที่ทีมมี รวมไปถึงอนาคตที่ทีมจะเดินหน้าไป

 

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่ในข่าวประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการที่ประกาศเรื่องการเซ็นสัญญาของ เอเดรียน นิวอี มีการกล่าวถึงความสำคัญของการเยี่ยมชมโรงงานลับในครั้งนี้ ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการโน้มน้าวใจนักออกแบบวัย 65 ปี

 

คำพูดของนิวอีที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์ระบุว่า “การเยี่ยมชมส่วนตัวของ AMR Technology Campus แห่งใหม่ของทีมในเดือนมิถุนายน เป็นการแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของทีม และยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการตัดสินใจ”

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้พิสูจน์ว่าแอสตัน มาร์ติน กำลังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ซึ่งรวมถึงอุโมงค์ลมแห่งใหม่ แต่สิ่งที่นิวอีพอใจไม่ใช่แค่เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้น หากแต่เป็นวิธีคิดของทีมที่จะสร้างมันขึ้นมาต่างหาก

 

เขากล่าวว่า “การสร้างโรงงานใหม่เอี่ยมในพื้นที่กรีนฟิลด์ โดยทำมันขึ้นมาให้มีความรู้สึกอบอุ่นและสร้างสรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

 

“ท้ายที่สุดแล้วนั่นคือสิ่งที่เราอยู่ที่นี่ เพื่อพยายามสร้างสรรค์และเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารที่ดีระหว่างทุกคนที่ทำงานที่นี่”

 

การเป็นหุ้นส่วน

 

 

องค์ประกอบที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในการประกาศข่าวแอสตัน มาร์ติน คว้าตัว เอเดรียน นิวอี ไปก็คือ เขากำลังจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของทีม

 

ในอดีต โดยเฉพาะในช่วงทันทีหลังจากที่เขาออกจากวิลเลียมส์ไปแม็คลาเรนในช่วงปลายทศวรรษ 1990 มีการแนะนำว่าองค์ประกอบหนึ่งที่อาจขัดขวางไม่ให้เขาย้ายทีมได้ก็คือเจ้าของทีมอย่าง แฟรงก์ วิลเลียมส์ และ แพทริก เฮด ที่เสนอให้เขาถือหุ้นในทีม

 

นอกเหนือจากค่าเหนื่อยที่แอสตัน มาร์ติน มอบให้นิวอีที่ราว 25-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีพร้อมโบนัสแล้ว ส่วนสำคัญของสัญญานี้คือ คำมั่นที่พวกเขาจะมอบหุ้นจำนวนหนึ่งให้กับนิวอี ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขามีความมั่นคงและความมุ่งมั่นในระดับที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนในวงการ F1

 

“การมีโอกาสเป็นผู้ถือหุ้นและหุ้นส่วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครเสนอให้ผมมาก่อน

 

“ดังนั้นจึงเป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย เป็นสิ่งที่ผมตั้งตารอคอยมาก มันจึงกลายเป็นทางเลือกที่เป็นธรรมชาติมาก” นิวอีกล่าว

 

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ว่ามาและอาจจะมีเหตุผลอื่นๆ ที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่ด้วย การเลือกแอสตัน มาร์ติน ของ เอเดรียน นิวอี นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญอย่างหนึ่งในวงการ F1 

 

และการเลือกของ ‘พ่อมดแอโรไดนามิกส์’ ในครั้งนี้อาจเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของศึก F1 ในอนาคตที่จะมาถึงก็เป็นได้

 

อ้างอิง:

 

 
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X