การล่มสลายของเหรียญ UST ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นหนึ่งใน Stablecoin ประเภท Algorithmic ที่ล่าสุดมูลค่าของเหรียญลดลงจาก 1 ดอลลาร์ ลงมาเหลือเพียง 0.07 ดอลลาร์
นอกจาก UST และ LUNA ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น Stablecoin อื่นๆ รวมไปถึง USDT ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ถูกใช้งานมากที่สุดในขณะนี้ก็สูญเสียความเชื่อมั่นไปบางส่วนเช่นกัน
ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดรวมของเหรียญ USDT หายไปราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมในช่วงก่อนที่ UST จะล่มสลาย เคยมีมูลค่า 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงมาเหลือ 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์
จากความเชื่อมั่นต่อ Stablecoin ที่ลดลง ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ในความเป็นจริงแล้ว Stablecoin เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นกับอีโคซิสเต็มของคริปโตเคอร์เรนซีมากน้อยเพียงใด
Stablecoin คืออะไร?
Stablecoin ถือเป็นคริปโตเคอร์เรนซีรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต้องการจะผูกมูลค่าของตัวเองไว้กับสินทรัพย์อื่นๆ โดยหวังที่จะลดความผันผวนของมูลค่า ขณะเดียวกัน Stablecoin ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางที่เชื่อมระหว่างสกุลเงินทั่วไป เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือยูโร เข้ากับโทเคนดิจิทัล เช่น Bitcoin หรือ Ethereum
กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital และผู้ก่อตั้งเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand กล่าวว่า หากย้อนกลับไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน ณ ช่วงที่คริปโตยังไม่เฟื่องฟู ในเวลานั้นคู่เทรดหลักของคริปโตมักจะเป็น Bitcoin กับเหรียญทางเลือกอื่นๆ แต่ข้อเสียคือ เมื่อราคาเหรียญหลักอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum ร่วงลงไป ก็จะทำให้ราคาร่วงไปทั้งตลาด และความผันผวนของ Bitcoin ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงกว่าปกติ และไม่สามารถรักษามูลค่าได้ดีเท่าที่ควร
หากเทียบกับโลกการเงินดั้งเดิม เรามักจะเห็นการผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็น Fiat Currency อันดับ 1 ของโลก ที่ได้รับการยอมรับ ทำให้ Tether สร้าง USDT ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เหมือนกับเงินดอลลาร์
“โดยสรุปคือ Stablecoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และรักษามูลค่าในยามที่ตลาดผันผวน มิเช่นนั้นแล้วทุกคนก็ต้องโยกเงินออกไปสู่ Fiat Currency ซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องของการทำธุรกรรม หรือแม้แต่เรื่องของการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับ”
หากตัด Stablecoin ออกไปจากอีโคซิสเต็มจะเป็นอย่างไร?
ถ้าไม่มี Stablecoin เท่ากับว่านักลงทุนจะต้องใช้สกุลเงินดั้งเดิมของแต่ละประเทศในการซื้อคริปโต ซึ่งการใช้สกุลเงินทั่วไปในการทำธุรกรรมอาจสร้างความยุ่งยากมากขึ้นให้กับนักลงทุน ทั้งจากการชำระราคาที่มีขั้นตอนมากกว่า และในขณะเดียวกันราคาของคริปโตอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในระหว่างกระบวนการทำธุรกรรมนั้นๆ
ธนลภย์ ปรีดามาโนช นักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Academy กล่าวว่า Stablecoin มีความสำคัญมากต่ออีโคซิสเต็มของคริปโต หากไม่มี Stablecoin หนึ่งในปัญหาที่ทุกคนจะต้องเผชิญคือ ทุกครั้งที่ต้องการจะขายคริปโตและกลับมาถือสกุลเงินปกติ เท่ากับว่าแต่ละคนจะมีต้นทุนในเรื่องของค่า Gas จำนวนมาก
“ฉะนั้นแล้ว Stablecoin ทำหน้าที่เป็นแหล่งพักเงินในโลกของคริปโต” ธนลภกล่าว
อนาคตของ Stablecoin หลังจากนี้
กานต์นิธิกล่าวต่อว่า หลังจากนี้เชื่อว่า Stablecoin ประเภท Algorithmic น่าจะเสื่อมถอยความนิยมไปเรื่อยๆ หลังจากที่เหรียญอันดับ 1 ของประเภทนี้อย่าง UST ล่มสลายไป และน่ากู้ความเชื่อมั่นกลับมาได้ยาก
ในขณะที่ Stablecoin ประเภทที่มีสินทรัพย์จริงหนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะประเภท Asset-Backed ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินดอลลาร์เป็นหลักประกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว Stablecoin ประเภทนี้ก็สามารถล่มลงได้เช่นกัน ทั้งความเสี่ยงจากมูลค่าของเงินดอลลาร์ หรือการที่ไม่มีสินทรัพย์หนุนอยู่เพียงพอ
“ในกรณีของ USDT แม้จะเห็นเงินไหลออก ทำให้มูลค่าของเหรียญลดลงไป 1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่โดยรวมก็ยังถือว่ามีความแข็งแกร่งอยู่พอสมควร จากมูลค่าเหรียญที่ยังไม่ถูกกระทบมากนัก ต่างจาก UST ซึ่งถูกโจมตีด้วยค่าเงินมูลค่าหลัก 1 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับมูลค่าของเหรียญก่อนจะล่มลงมาที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์”
หลังการหายไปของ Algorithmic Stablecoin สิ่งที่ต้องจับตามองคือ การเข้ามาของ Stablecoin ที่ถูกสร้างขึ้นโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ปัจจุบัน Stablecoin ที่มีอยู่ในตลาดถูกสร้างขึ้นจากเอกชนเท่านั้น ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราน่าจะได้เห็นภาครัฐส่งเหรียญของตัวเองเข้ามาในตลาดเช่นกัน
“ในอนาคต Stablecoin ของแต่ละประเทศอาจเป็นจุดที่ทำให้โลกของ Decentralized และ Centralized เหมือนได้มาพบกันครึ่งทาง”
ด้านธนลภมองว่า ปัจจุบัน Stablecoin ประเภท Fiat-Backed ยังเป็นที่นิยมมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว Stablecoin ประเภทนี้ก็อาจจะไม่ได้ตรงกับจริตของชาวคริปโตมากนัก เพราะเป็นการใช้คริปโตโดยยังคงไปผูกกับ Fiat Currency เพราะฉะนั้นเราอาจจะเห็น Stablecoin ประเภท Crypto-Backed ได้รับความนิยมมากขึ้น
“ส่วนตัวมองว่า Stablecoin จะมั่นคงได้ ไม่ได้เป็นเรื่องของอัลกอริทึมใดๆ แต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น อย่างเงินดอลลาร์ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีสินทรัพย์หลักประกันเพียงพอ แต่เป็นความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในอนาคตเราน่าจะเห็นคอนเซปต์ในลักษณะนี้ คืออาจจะมีคริปโตสักแพลตฟอร์มหนึ่งที่เป็นเหมือนสหรัฐฯ แห่งโลกคริปโต”
หาก USDT รักษามูลค่าไว้ไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น?
Financial Times ระบุว่า แม้ Stablecoin จะเรียกตัวเองว่า ‘Stable’ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ยังมีความผันผวนอยู่บ้าง รายงานจาก J.P. Morgan เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ระบุว่า Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุด 4 เหรียญ มีช่วงเวลาราว 30-40% ที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนดังกล่าวมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเหรียญอย่าง Tether สูญเสียความสามารถในการตรึงมูลค่าที่ 1 ดอลลาร์เป็นเวลานาน มันอาจทำให้ตลาดคริปโตสั่นคลอนขึ้นมาได้
โดยนักลงทุนที่ถือครอง USDT จะพบว่าตัวเองสูญเสียความมั่งคั่งไป ซึ่งจะนำไปสู่การเทขายออกมาพร้อมๆ กัน ซึ่งจะเป็นการแห่กันเข้าไปแลกเอาเงินดอลลาร์คืน และจะเป็นการบีบให้เกิดการขายสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันอยู่เพื่อนำเงินดอลลาร์มาให้กับนักลงทุน สิ่งที่จะตามมาคือแรงขายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะกระทบต่อตลาดการเงิน โดยเฉพาะหุ้นระยะสั้นหรือพันธบัตรรัฐบาลที่เป็นหลักประกันเบื้องหลัง
อ้างอิง: