วอร์เรน บัฟเฟตต์ ครองตำแหน่งนักลงทุนระดับตำนานที่ยังมีชีวิตมาต่อเนื่องยาวนาน ด้วยวิสัยทัศน์การลงทุนในสไตล์ Value Investor และได้รับการยอมรับในกลุ่มนักลงทุนทั่วโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ บัฟเฟตต์ เจ้าของอาณาจักร Berkshire Hathaway กลับมาอยู่ในสปอตไลต์ดวงใหญ่อีกครั้ง หลังจากเปิดเผยมูลค่าการเข้าลงทุนในไตรมาส 1/22 ซึ่งสูงถึง 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เงินสดในมือ Berkshire Hathaway ลดลงเหลือ 1.06 แสนล้านดอลลาร์ ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2018
การกลับมาลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นค่อนข้างผกผัน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง Fed ใช้มาตรการตึงตัวทางการเงิน สภาพคล่องในระบบกำลังถูกดึงออก อีกทั้งสัญญาณการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่ดัชนีชี้วัดหลายตัวต่างบ่งชี้ชัดเจนขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่าบัฟเฟตต์มองเห็นอะไรถึงเดินหน้าลงทุนท่ามกลางบริบทในโลกแห่งการลงทุนเช่นนี้ และเขาจะใช้กลยุทธ์ลงทุนอย่างไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ทุ่มซื้อหุ้นครั้งใหญ่รอบหลายปี เฉพาะไตรมาสแรกอัดเงินกว่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์
- ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ก้าวเข้าสู่โลก Metaverse จากการซื้อหุ้น Activision Blizzard มูลค่าราว 1 พันล้านดอลลาร์
- ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ทุ่มอีก 1,500 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันเพิ่ม
ไม่หนีความจริง แต่ทำความเข้าใจสถานการณ์
ในการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้ง บัฟเฟตต์ และ ชาร์ลี มังเกอร์ ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญใน Berkshire Hathaway ต่างก็มองเศรษฐกิจในแง่ลบ ซึ่งปัจจัยกดดันมาจากภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง อันเป็นผลมาจากนโยบายการเงินคลายตัวก่อนหน้านี้ ทำให้อุปสงค์พุ่งเกินจริง และทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน และตอนนี้วิธีแก้ไขดูเหมือนจะมุ่งไปที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยายามลดอุปสงค์
อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์และมังเกอร์มองว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นผลที่ตามมาที่จำเป็นในการช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ พ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิดที่กินระยะเวลามากกว่า 2 ปี
เศรษฐกิจขาลงก็มีโอกาสเพิ่มความมั่งคั่ง
หนึ่งในวิธีเพิ่มความมั่งคั่งช่วงเวลาเงินเฟ้อสูง คือการมองหาโอกาสที่หาไม่ได้จากที่อื่น เคล็ดลับคือการมีประสบการณ์มากมายในการมองหาโอกาสเหล่านั้นในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อไม่นานมานี้ บัฟเฟตต์สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนด้วยการเปิดเผยสัดส่วนการถือหุ้น 9.5% ใน Activision Blizzard ด้วยเงินลงทุนมูลค่าประมาณ 6.2 พันล้านดอลลาร์ (ณ ราคาหุ้นวันที่ 29 เมษายน 2565)
ทั้งนี้ Activision Blizzard คือบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ที่สร้างสรรค์เกมดัง เช่น Call of Duty และ Diablo โดย Berkshire Hathaway ได้เข้าซื้อหุ้นในจำนวน 14.7 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 975 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท) เมื่อปี 2021
กล่าวได้ว่า บัฟเฟตต์เป็นเจ้าของ Activision ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ ก่อนที่ Microsoft ประกาศว่าจะซื้อกิจการในราคา 95 ดอลลาร์ต่อหุ้น บัฟเฟตต์จึงเพิ่มตำแหน่งของ Berkshire ในฐานะโอกาสในการเก็งกำไรแบบคลาสสิกภายใต้สมมติฐานว่า Microsoft เป็นผู้ซื้อที่น่าเชื่อถือและน่าจะเป็นผู้ปิดดีลได้ในที่สุด โอกาสในการเก็งกำไรนั้นใหญ่มาก เมื่อพิจารณาว่าหุ้นของ Activision Blizzard อยู่ที่ 75.60 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปัจจุบัน
การเก็งกำไรใน Activision Blizzard ของบัฟเฟตต์นั้น จัดเป็นวีธีการแบบเก่า (Old School) ที่เน้นค้นหาหุ้นคุณค่าในตลาดที่มีความท้าทายสูง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการลงทุนประเภทนี้ เนื่องจากข้อตกลงการซื้อขายไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและดีลอาจล้มเหลวได้ คงไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากลงเอยด้วยการเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณไม่เข้าใจและไม่ได้ต้องการตั้งแต่แรก
จังหวะตลาดหมี หุ้นวัฏจักรและหุ้นต้นน้ำน่าสนใจ
เป็นเรื่องที่ดีและดีที่จะบอกว่าเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คำถามที่แท้จริงที่นักลงทุนหลายคนอาจสงสัยคือจะจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรเพื่อสู้ศึกอัตราเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ
ก่อนอื่น สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าวัฏจักรทางเศรษฐกิจคือโอกาสที่เท่าเทียมกันในอาชีพนักลงทุน ไม่ว่าเงินเฟ้อจะเป็นสาเหตุของการเทขายหุ้นหรือไม่ก็ตาม มันก็เป็นเพียงประเด็นรอง ประเด็นหลักคือภาวะตลาดหมีสามารถสร้างความมั่งคั่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตให้กับนักลงทุนได้ หากเจอบริษัทที่มีอนาคตสดใส กระแสเงินสดเป็นบวก และงบดุลที่คงทน
สิ่งที่ Berkshire เปิดเผยให้เห็นล่าสุด คือความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนในรอบหลายปีแล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่า Berkshire กำลังหามูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงาน สังเกตได้จากการถือหุ้นพลังงานที่เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จากหุ้นสัดส่วนน้อยในพอร์ตลงทุนมาเป็นหุ้นสัดส่วนหลัก โดย Berkshire เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ใน Chevron และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกใน Occidental Petroleum
นอกจากนี้ Berkshire ยังเข้าถือหุ้น HP เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เข้าซื้อกิจการบริษัทประกัน Alleghany เหล่านี้สะท้อนถึงการไล่ซื้อหุ้นคุณค่าหรือหุ้นวัฏจักรในช่วงที่ทุกอย่างกำลังเป็นขาลง อันเป็นวิธีการสุดคลาสสิกของบัฟเฟตต์
Chevron เป็นบริษัทชั้นนำของอุตสาหกรรม ขึ้นชื่อในด้านงบดุลและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ซึ่งช่วยสร้างกระแสเงินสดได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงจุดคุ้มทุน แม้ว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับต่ำที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ Occidental Petroleum แม้จะมีการใช้จ่ายเชิงรุกมากกว่า และมีจุดคุ้มทุนที่สูงกว่า Chevron แต่ก็ถูกหักกลบไปด้วยราคาน้ำมันและก๊าซที่สูงขึ้นในรอบ 8 ปี ส่วนหุ้นอื่นๆ ที่ Berkshire ลงทุนนั้น ล้วนแต่เป็นบริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple และ Coca-Cola ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้แบบ Passive ที่ต้านทานภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
ไม่ประมาทในทุกการลงทุน
การกระทำของบัฟเฟตต์แสดงให้เห็นว่า Berkshire กำลังค้นหาหุ้นคุณค่าในตลาดเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่ง แต่ Berkshire นั้นไม่ได้ซื้อแค่บริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่านั้น เป็นการเลือกซื้อบริษัทที่มีส่วนร่วมในเงินเฟ้อ (ผู้ผลิตต้นน้ำ เช่น Occidental) หรือมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือและการประเมินมูลค่าที่ไม่แพง (เช่น Chevron และ HP)
สำหรับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนจำนวนมหาศาล การยึดติดกับหุ้นที่มั่นใจได้ว่าจะเติบโตได้อย่างแน่นอนไม่ว่าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจจะแย่เพียงใด อาจเป็นวิธีลงทุนที่เหมาะที่สุด และช่วยสร้างความอดทนต่อภาวะตลาดหมี
จงเก่ง ‘สิ่งใดสิ่งหนึ่ง’ เป็นพิเศษ
ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2022 ของ Berkshire Hathaway สิ่งที่ผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมงานสนใจก็คือการรับมือกับเงินเฟ้อ โดยบัฟเฟตต์กล่าวว่า เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง สิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนสามารถทำได้คือ ‘เก่งด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ’
โดยบัฟเฟตต์ย้ำคำแนะนำที่มีมายาวนานว่า หนึ่งในการป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือการฝึกฝนทักษะและทำงานให้อยู่ในระดับสูงสุด
“สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือการเก่งด้านใดด้านหนึ่งเป็นเป็นพิเศษ” บัฟเฟตต์ในวัย 91 ปีให้คำแนะนำแก่ผู้ถือหุ้นที่มาร่วมประชุม และยกตัวอย่างอาชีพ เช่น แพทย์ และนักกฎหมาย ว่าเพราะมีความชำนาญการเป็นพิเศษ ผู้คนจึงยอมแลกสิ่งที่เขามี เพื่อแลกกับสิ่งที่คุณจะส่งมอบให้
บัฟเฟตต์เสริมว่า ทักษะ (ความชำนาญ) นั้นต่างจากสกุลเงินที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ หากคุณมีทักษะที่เป็นที่ต้องการ ทักษะนั้นจะยังคงอยู่ในความต้องการไม่ว่าเงินดอลลาร์จะมีมูลค่าเท่าใด ดังนั้นแล้ว การลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาคือการลงทุนในตัวเอง และนั่นก็ไม่ต้องเสียภาษีด้วย
การลงทุนที่ดีที่สุดคือลงทุนในตัวเอง
ทั้งนี้ คำแนะนำข้างต้นคล้ายคลึงกับสิ่งที่บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย ณ ปีนั้น บัฟเฟตต์ในวัย 78 ปีกล่าวไว้ว่า สิ่งดีที่สุดที่ควรทำคือลงทุนในตัวเอง
ในปีนั้นบัฟเฟตต์ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่ดีสุดรองลงมาคือการลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการโดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพของเงินดอลลาร์
รอบนั้นบัฟเฟตต์ยกตัวอย่าง Coca-Cola โดยอธิบายว่า ผู้คนจะยังต้องการน้ำอัดลมที่เขาโปรดปรานในทศวรรษต่อจากนี้ โดยอัตราเงินเฟ้อไม่ได้มีบทบาทในการตัดสินใจของพวกเขา
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/05/02/this-is-warren-buffetts-simple-advice-for-periods-of-high-inflation.html?__source=iosappshare%7Cjp.naver.line.Share
- https://www.kiplinger.com/investing/stocks/604520/heres-why-warren-buffett-bought-hpq-stock
- https://www.investopedia.com/ask/answers/081114/how-does-warren-buffett-choose-what-companies-buy.asp
- https://www.fool.com/investing/2022/04/30/worried-about-inflation-heres-what-warren-buffett/
- https://www.bloomberg.com/news/live-blog/2022-04-29/buffett-speaks-at-berkshire-hathaway-annual-meeting?sref=CVqPBMVg
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP