วันนี้ (27 มีนาคม) วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน (ส่วนหน้า) เพื่อมอบนโยบายประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ติดตามสถานการณ์ห้องประชุมสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ระบุว่าความเสียหายจากไฟป่าไม่สามารถประเมินได้ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 กระทบต่อประชาชนจนต้องเข้ารักษาตัวกว่า 10,000 ราย
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขออภัยชาวภาคเหนือและชาวเชียงใหม่ที่เกิดสถานการณ์ขึ้นหลายครั้งแล้ว และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ประกอบด้วย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กรมป่าไม้, กองทัพ, จิตอาสา, ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่ทำงานกันหนักหน่วงและทุ่มเทเป็นอย่างมาก
การลอบเผาป่า หนึ่งคนเผา ร้อยคนดับ คือการป้องกันเป็นสิ่งที่ยาก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พื้นที่ป่าเสียหายมาก และเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ นอกจากทุกคนจะต้องรับมือกับปัญหาโควิด-19 แล้วยังต้องมาช่วยแก้ปัญหาควันไฟและการเผาป่า
“ขอให้ทุกภาคส่วนบูรณาการงานร่วมกัน ให้ไปทำความใกล้ชิดกับประชาชนในหมู่บ้านเพื่อหาข่าว และทำความเข้าใจในการเฝ้าระวังพื้นที่ในแต่ละหมู่บ้าน และขอให้ทุกหมู่บ้านทำความเข้าใจกับลูกบ้านว่าจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำความเข้าใจกับทุกคนในหมู่บ้านเพื่อให้ช่วยเฝ้าระมัดระวัง เพราะเชื่อมั่นว่าทุกคนในหมู่บ้านต่างหวงแหนป่าของตัวเองทั้งนั้น เพราะเหตุที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเหมือนเผาบ้านตัวเอง คนเผาไม่รู้หรอกว่าอันตรายขนาดไหน และขอให้กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ประสานไปที่กองทัพอากาศในการใช้อากาศยานไร้คนขับ ใช้กล้องจับความร้อนเพื่อดูแลพื้นที่ในวงกว้าง เพื่อมาเสริมเขี้ยวเล็บการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อย่างไรก็ตาม บางครั้งหมอกควันไฟจากประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นปัญหา ซึ่งกรมควบคุมมลพิษทำหนังสือถึงเลขาธิการอาเซียนเพื่อขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ขอบคุณชาวเชียงใหม่ที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงาน
“ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำชับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กำกับดูแลแก้ปัญหาไฟป่าภาคเหนือ และเมื่อมาดูข้อเท็จจริงแล้วจะนำไปรายงานให้ทั้งสองคนได้รับทราบต่อไป” วราวุธกล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
