×

กว่าจะมาเป็นวลาดิเมียร์ ปูติน: ชายผู้เริ่มเปิดเกมสงครามรัสเซีย-ยูเครน

28.02.2022
  • LOADING...
Vladimir Vladimirovich Putin

HIGHLIGHTS

11 Mins. Read
  • ปูตินในวัย 17 ปี มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมกับหน่วยสืบราชการลับ KGB เขามีความฝันตั้งแต่เด็กๆ และมีแพสชันจากบรรดาหนังจารกรรมฉบับโซเวียต ต่อมาเขาได้เติบโตในสายงานในองค์กรหน่วย KGB ประจำเลนินกราด ทั้งสายการต่อต้านข่าวกรองและการข่าวกรองนอกประเทศ ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือการปฏิบัติการเป็นสายลับอย่างเต็มตัวในดินแดนต่างประเทศนั่นเอง 
  • ปูตินเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขามีความคิดที่จะออกไปทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น เป็นความคิดแบบเดียวกันกับที่เคยคิดไว้หลังลาออกจาก KGB ใหม่ๆ แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก ที่เมื่อคิดจะออกไปขับแท็กซี่ทีไรก็เป็นอันจะต้องมีคอนเน็กชันเบอร์ใหญ่แนะนำเขาให้ทำงานกับผู้มีอำนาจทุกครั้งไป
  • ผลงานของปูตินเข้าตาประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินเป็นอย่างมาก การทำงานของปูตินมีส่วนช่วยสลายเครือข่ายคอร์รัปชันของบรรดานักการเมืองที่รายล้อมเยลต์ซินได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เขายังแสดงถึงความจงรักภักดีต่อเจ้านายเก่า ปูตินจึงกลายเป็นแคนดิเดตที่สืบทอดอำนาจของเยลต์ซิน หลังเยลต์ซินวางมือทางการเมืองในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี 2000 ต่อมาเขาชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเต็มตัว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2000
  • ภาพวันที่กำแพงเบอร์ลินและสหภาพโซเวียตที่เคยรุ่งโรจน์ล่มสลายลง อาจยังคงฉายวนอยู่ในหัวของปูตินตลอดมา เขาจึงคาดหวังที่จะฟื้นฟูศักดิ์ศรีของรัสเซียกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ผลงานแรกๆ หลังขึ้นเป็นผู้นำรัสเซียคือ การให้รัสเซียกลับไปใช้ทำนองเพลงชาติในยุคโซเวียต
  • แม้ว่าเราจะยังไม่เห็นว่าจุดสิ้นสุดความเป็นผู้นำปูตินอยู่ตรงไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทิ้งไพ่ใบสำคัญอย่างการตัดสินใจเข้าบุกยูเครนในครั้งนี้ได้ทำให้ชื่อเสียงของปูตินหักเหไปในทางลบทันที รวมไปถึงมติมหาชนชาวรัสเซียจำนวนมากก็ไม่ได้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว

ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของบุรุษนามว่า ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ผู้สั่งการให้กองทัพรัสเซียภายใต้บัญชาการบุกยูเครน ผู้เป็นคู่สงครามกับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีอย่างเต็มอัตรา สร้างความช็อกและตกตะลึงไปทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันเกือบหมดหน้าตักที่ต้องแลกเกือบทุกอย่างเลยก็ว่าได้

 

เราไปทำความรู้จักกันว่า ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ผู้นำที่บ้าดีเดือดแห่งรัสเซียผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

 

วัยเด็กยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

วลาดิเมียร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน (Vladimir Vladimirovich Putin) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1952 ณ เมืองเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) เป็นบุตรของ วลาดิเมียร์ สปิริโดโนวิช ปูติน (ชื่อเดียวกับพ่อ) และมาเรีย อิวานอฟนา ปูตินา เป็นบุตรคนที่ 3 ของครอบครัว พี่ชาย 2 คนเสียชีวิตก่อนที่เขาจะเกิด โดยคนแรก อัลเบิร์ต เสียชีวิตก่อนเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 และพี่ชายคนที่ 2 วิคเตอร์ เสียชีวิตจากโรคคอตีบในช่วงที่เลนินกราดถูกปิดล้อมโดยนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2

 

ครอบครัวปูตินมีอพาร์ตเมนต์บนชั้น 5 ของบ้านเลขที่ 12 ตรอกบาสคอฟ กลางเมืองเลนินกราด โดยเป็นบ้านที่เขาอยู่มาโดยตลอด จนกระทั่งได้เข้าร่วมหน่วยสืบราชการลับเคจีบี (KGB)

 

ในวัยเด็กปูตินได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนประถมหมายเลข 193 ก่อนที่จะเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนหมายเลข 281 ที่เป็นโรงเรียนสายเคมีซึ่งร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยี (Technological Institute) และจบการศึกษาในปี 1970

 

ปูตินในวัย 17 ปี มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมกับหน่วยสืบราชการลับ KGB เขามีความฝันตั้งแต่เด็กๆ และมีแพสชันจากบรรดาหนังจารกรรมฉบับโซเวียต ในห้องที่บ้านนอกเมืองของเขาที่ทอสโน (Tosno) เคยมีรูปของ ยาน เบียร์ซิน (Yan Berzin) หนึ่งในผู้ก่อตั้งหน่วยข่าวกรองของโซเวียต ผู้มีเชื้อสายลัตเวีย เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาอินกับ KGB มาโดยตลอดตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นปูตินในวัย 17 ปีจึงได้วอล์กอินไปตามที่ตั้งหน่วย KGB ทุกที่ทั่วเมือง เพื่อสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งซึ่งอาจจะเห็นแววของปูตินได้แนะนำให้ปูตินไปศึกษาต่อในสายมนุษย์ศาสตร์

 

วัยรุ่นยุคสงครามเย็นกำลังเข้มข้น

ปูตินในช่วงปี 1970-1975 จึงได้เป็นนักศึกษาแผนกกฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ที่ซึ่งปูตินได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต โดยหัวข้อวิทยานิพนธ์คือ ‘Most favoured nation principle’ ที่สำคัญในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยนี้ได้พบกับอาจารย์อนาโตเลีย ซอบชัก (Anatolia Sobchak) ผู้ที่ในอนาคตจะได้เป็นผู้ทำคลอดอนาคตทางการเมืองให้กับปูตินนั่นเอง

 

Vladimir Vladimirovich Putin

ภาพ: Russian Archives / picture alliance via Getty Images

 

10 ปีแห่งการเตรียมความพร้อมเป็นสุดยอดสายลับ

หลังจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตในปี 1975 ปูตินได้รับการติดยศเป็นนายร้อยตรีเหล่าทหารปืนใหญ่ ก่อนที่จะถูกส่งเข้าไปอบรมหลักสูตรการปฏิบัติการสายลับ และได้รับการติดยศเป็นร้อยตรีอาวุโส ปูตินเติบโตในสายงานในองค์กรหน่วย KGB ประจำเลนินกราดมาโดยลำดับ ทั้งสายการต่อต้านข่าวกรองและการข่าวกรองนอกประเทศ ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือการปฏิบัติการเป็นสายลับอย่างเต็มตัวในดินแดนต่างประเทศนั่นเอง ที่สำคัญปูตินยังได้เข้าเรียนภาษาเยอรมันด้วย

 

ชีวิตสายลับเต็มตัว

หลังจากที่ปูตินได้พิสูจน์ตัวเองให้หน่วยงานเห็นแล้วว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้อย่างยอดเยี่ยม มีระเบียบวินัย และมีความสุขุมรอบคอบ จึงได้รับการคัดเลือกส่งไปปฏิบัติการ ณ เมืองเดรสเดน ประเทศเยอรมนีตะวันออก ที่เป็นดินแดนในกลุ่ม Eastern Bloc และเป็นหนึ่งในพื้นที่หน้าด่านของกลุ่มดินแดนหลังม่านเหล็กที่ต้องประชิดกับดินแดนโลกเสรีที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และโชคชะตาที่พัดพาปูตินมาเยอรมนีตะวันออกในครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของเขาและของโลกในเวลาต่อมา

 

ปูตินถูกส่งเข้าไปเป็นผู้แทน KGB ประจำกระทรวงความมั่นคงภายในแห่งเยอรมนีตะวันออก โดยมีพันเอกลาซาร์ มัตเวเยฟ (Col. Lazar Matveyev) เป็นผู้บังคับบัญชา โดยปูตินมีฉากหน้าเป็นผู้อำนวยการบ้านแห่งมิตรภาพโซเวียต-เยอรมนีตะวันออก หน่วยงานที่ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน สาขาเดรสเดน ภารกิจหลักคือ การปฏิบัติการด้านข่าวกรองจากประเทศฝ่ายตรงข้ามอย่างประเทศกลุ่มยุโรปตะวันตกที่เป็นพันธมิตรสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนีตะวันตก ที่มีการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยใกล้พุ่งเป้ามายังสหภาพโซเวียต โดยในช่วงที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในเดรสเดรน เขาพำนักอยู่ในอพาร์ตเมนต์ 3 ห้องนอนที่เป็นที่พักรับรองของเหล่านายตำรวจลับสตาซี (Stasi) แห่งเยอรมนีตะวันออก รวมไปถึงรถยนต์ ‘ฌิกูลี (Zhiguli) รุ่น 6 รุ่นยอดนิยมของโซเวียตในยุคนั้น เมื่อหน้าที่การงานของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ไต่เต้าขึ้นมาจนกระทั่งติดยศพันโท ผู้ช่วยของผู้บังคับบัญชาหน่วย KGB ในเดรสเดน

 

กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย – สิ่งที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

ปูตินปฏิบัติงานเรื่อยมา จนถึงปี 1989 ที่เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงในยุโรปตะวันออก นโยบายของมิคาอิล กอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีการประนีประนอมกับโลกตะวันตกมากขึ้น ประเทศที่เคยอยู่ในกลุ่ม Warsaw Pact ใต้ร่มเงาโซเวียตเริ่มทยอยเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย โดยที่สหภาพโซเวียตไม่เข้ามาแทรกแซง จึงเกิดเป็นเหตุการณ์โดมิโนที่รัฐคอมมิวนิสต์พังพาบต่อๆ กันไป ภาพกำแพงเบอร์ลินที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งเขตอำนาจจักรวรรดิโซเวียตถูกรื้อออกยังคงติดตาของปูติน 

 

ในเดือนธันวาคม ปี 1989 ฝูงชนชาวเยอรมันได้บุกกรูเข้ามายังที่ทำการ KGB ที่บ้านเลขที่ 4 ถนน Agelikastrasse เพื่อเข้ายึดเอกสารเกี่ยวกับตำรวจลับ ปูตินได้เผาทำลายเอกสารหลักฐานได้จำนวนหนึ่งก่อนที่ขบวนผู้ชุมนุมจะบุกมาถึง ถึงแม้ว่าปูตินจะติดอาวุธและมีสิทธิ์ที่จะยิงใครก็ได้ที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่หน่วยงาน แต่เขาก็เลือกที่จะใช้การเจรจา จนกระทั่งกลุ่มผู้ประท้วงยอมถอยออกไป ปูตินประจักษ์แล้วว่า ยุคสมัยแห่งจักรวรรดิโซเวียตกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว 

 

ในที่สุดภารกิจของ KGB ในเยอรมนีตะวันออกก็สิ้นสุดลงในปี 1990 หลังเยอรมนีรวมประเทศ ภารกิจของปูตินในฐานะสายลับ KGB ในยุโรปตะวันออกก็ได้สิ้นสุดลง ปูตินจึงเดินทางกลับสหภาพโซเวียต พร้อมกับภาพกำแพงเบอร์ลินที่ล่มสลายที่ยังคงติดตามาด้วย ปูตินขอร้องให้ต้นสังกัดส่งเขากลับไปปฏิบัติการ ณ บ้านเกิดที่เลนินกราด และเมื่อเกิดความวุ่นวายในสหภาพโซเวียต อนาโตเลีย ซอบชัก ผู้ว่าการเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อกลับมาจากเลนินกราดสดๆ ร้อน) ปฏิเสธอำนาจของคณะรัฐประหารที่พยายามจะยึดอำนาจจากกอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียต (แต่ล้มเหลว) ซึ่งแกนนำคณะรัฐประหารส่วนใหญ่เป็นสาย KGB ปูตินจึงตัดสินใจลาออกจาก KGB อย่างเป็นทางการ และมีความตั้งใจแรกเริ่มที่จะไปขับแท็กซี่ ก่อนที่จะตัดสินใจลงเล่นการเมืองท้องถิ่น

 

ชีวิตการเมืองท้องถิ่น

หลังปูตินเข้าสู่ชีวิตพลเรือนอย่างเต็มตัว ปูตินได้เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ของศาสตราจารย์สตานิสลาฟ เมียร์คูเรียฟ (Prof. Stanislav Merkuryev) อธิการบดีมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งจะเป็นผู้ที่แนะนำให้ปูตินรู้จักกับซอบชัก ซึ่งต่อมาจะได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นั่นเอง

 

เส้นทางทางการเมืองของปูตินเริ่มต้นขึ้นทันที หลังจากที่ซอบชักได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเขามีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าการ โดยภารกิจของปูตินคือการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติด้านการท่องเที่ยวเข้ามายังเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และการควบคุมการพนัน อีกทั้งยังได้พาบริษัทต่างๆ ของเยอรมนีมาเปิดกิจการการลงทุนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นคนแรกๆ รวมไปถึงเป็นหนึ่งในผู้จัดการแข่งขัน ‘Goodwill Games’ ซึ่งทำให้ปูตินได้คอนเน็กชันกับบรรดานักธุรกิจอเมริกันอีกเป็นจำนวนไม่น้อย 

 

ปูตินเติบโตในเส้นทางการเมืองท้องถิ่นมาโดยลำดับ ไต่เต้าจนกระทั่งเป็นรองคณะผู้บริหารเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กว่าด้วยเครือข่ายความมั่นคงภายใน ที่ต้องประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงแต่ละภูมิภาค 

 

ในที่สุดเส้นทางการเมืองท้องถิ่นของปูตินก็สิ้นสุดลง หลังอนาโตเลีย ซอบชัก แพ้การเลือกตั้งในสมัยต่อมาและไม่ได้ไปต่อ แม้ว่าผู้ชนะเป็นผู้ว่าฯ คนใหม่อย่าง วลาดิเมียร์ ยาคอฟเลฟ (Vladimir Yakovlev) จะมองเห็นความสามารถและได้เชิญปูตินกลับมาทำงานช่วยคณะบริหารผู้ว่าฯ เหมือนเดิม แต่ปูตินปฏิเสธที่จะเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย และถ้าตอบรับคำเชิญนั้นก็เท่ากับว่าเขาทรยศเจ้านายเก่าอย่างอนาโตเลีย ซอบชัก ปูตินจึงเลือกที่จะเดินออกมาเอง

 

เพราะเส้นทางถัดมาของเขาคือเส้นทางที่มุ่งสู่เครมลิน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

 

Vladimir Vladimirovich Putin

ภาพ: Mikhail Klimentyev / AFP

 

การเมืองระดับชาติ

หลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของอนาโตเลีย ซอบชัก และปูตินก็ยุติบทบาทในฐานะคณะผู้ทำงานของผู้ว่าฯ ลงไปด้วย ปูตินเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขามีความคิดที่จะออกไปทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น เป็นความคิดแบบเดียวกันกับที่เคยคิดไว้หลังลาออกจาก KGB ใหม่ๆ แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก ที่เมื่อคิดจะออกไปขับแท็กซี่ทีไรก็เป็นอันจะต้องมีคอนเน็กชันเบอร์ใหญ่แนะนำเขาให้ทำงานกับผู้มีอำนาจทุกครั้งไป

 

ผู้มีอำนาจในเครมลินคงเห็นความใจเด็ดและความกตัญญูของปูตินจากเกมการเมืองท้องถิ่นในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในครั้งนี้เขาจึงถูกทาบทามโดย วาเลนติน ยูมาเชฟ (Valentin Yumashev) ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) ให้มาเป็นรองผู้อำนวยการสำนักประธานาธิบดี รับผิดชอบการตรวจสอบและกำกับหน่วยงานต่างๆ แทนที่ อเล็กเซย์ คูดริน (Alexey Kudrin) ซึ่งจะขึ้นเป็นผู้อำนวยการแทน อนาโตลี ชูไบส์ (Anatoly Chubais) ผู้อำนวยการเดิมที่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี

 

ผลงานของปูตินเข้าตาประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินเป็นอย่างมาก การทำงานของปูตินมีส่วนช่วยสลายเครือข่ายคอร์รัปชันของบรรดานักการเมืองที่รายล้อมเยลต์ซินได้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือการเปิดโปงการใช้งบกลาโหมที่ต้องสงสัย จนทำให้พลเอกอิกอร์ โรดิโอนอฟ (Gen Igor Rodionov) ต้องลาออกจากตำแหน่ง รวมไปถึงการที่อดีตเจ้านายเก่าอย่างอนาโตเลีย ซอบชักถูกไต่สวน กรณีใช้อำนาจโดยมิชอบในช่วงเป็นผู้ว่าการ ปูตินก็ได้ช่วยเป็นทนายหน้าหอกับซอบชักอย่างเต็มที่จนหลุดพ้นข้อกล่าวหา การกระทำนี้ถูกใจเยลต์ซินอย่างมาก เนื่องจากปูตินพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีความจงรักภักดีกับเจ้านายเก่าและมีความกตัญญูอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้เจ้านายเก่าจะหมดอำนาจไปแล้วก็ตาม เขาสามารถไว้วางใจลูกน้องอย่างปูตินได้โดยไม่ต้องสงสัย

 

ปูตินจึงกลายเป็นแคนดิเดตผู้ที่จะสืบทอดอำนาจของเยลต์ซิน หลังเยลต์ซินวางมือทางการเมืองในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี 2000 

 

ชีวิตในเครมลิน

แม้เยลต์ซินมั่นใจในตัวปูตินเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องมีบททดสอบเพิ่มเติมเช่นกัน เยลต์ซินเสนอชื่อปูตินให้เป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบจากสภา ในขณะเดียวกันพรรคเยดินสตโว (Yedinstvo-Unity) ที่เพิ่งตั้งใหม่สดๆ ร้อนๆ ปูตินก็ได้รับเลือกเป็นสัดส่วนอันดับ 2 ในสภาเช่นกัน โจทย์หลักของปูตินขณะนั้นคือ ต้องจัดการปัญหากับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอิสลามในภาคใต้อย่างเชชเนียและดาเกสถาน ซึ่งปูตินก็ได้ใช้กำลังภายใน เส้นสายความมั่นคง จัดการกลุ่มกบฏได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน สร้างความเสียหายให้กลุ่มกบฏเป็นอย่างมาก ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของปูตินในช่วงเวลานั้น

 

ปูตินได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีรักษาการแทนบอริส เยลต์ซิน ที่ประกาศวางมือทางการเมืองในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี 2000 และชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเต็มตัว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2000 

 

Vladimir Vladimirovich Putin

ภาพ: Mikhail Svetlov / Getty Images

 

ยุคแห่งความรุ่งโรจน์

ภาพวันที่กำแพงเบอร์ลินและสหภาพโซเวียตที่เคยรุ่งโรจน์ล่มสลายลง อาจจะยังคงฉายวนอยู่ในหัวของปูตินตลอดมา เขาจึงคาดหวังที่จะฟื้นฟูศักดิ์ศรีของรัสเซียกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ผลงานแรกๆ หลังขึ้นเป็นผู้นำรัสเซียคือ การให้รัสเซียกลับไปใช้ทำนองเพลงชาติในยุคโซเวียต โดยมีการเปลี่ยนเนื้อร้องใหม่ จากการนี้สื่อตะวันตกจึงเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า เขาต้องการฟื้นฟูเกียรติภูมิของสหภาพโซเวียตให้กับรัสเซียในยุคใหม่ที่ปูตินเป็นผู้รับผิดชอบ

 

ปูตินยังได้กู้หน้าของรัสเซียในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ด้วยการทำสงครามอย่างเด็ดขาด ส่งกองทัพรัสเซียเข้าโจมตีเชชเนียและดาเกสถาน แม้ชาติตะวันตกจะตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ปูตินก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม สั่งตามล้างตามฆ่าผู้นำผู้ปลุกระดมอย่างไม่ลดละ ในขณะเดียวกันก็เข้าล็อบบี้กับฝ่ายกบฏบางสายที่ต้องการประนีประนอมกับรัฐบาลกลาง เช่น การให้การสนับสนุนอัคเหม็ด คาดีรอฟ (Akhmed Kadyrov) อดีตผู้นำกบฏเชชเนียที่กลับลำมาภักดีกับมอสโก ปูตินก็ได้ให้การสนับสนุนและอัดฉีดอย่างเต็มที่ สถานการณ์สงบเรื่อยมาจนถึงยุคของรามซาน คาดิรอฟ (Ramzan Kadyrov) ผู้เป็นบุตรชาย ที่ทุกวันนี้เป็นผู้นำเชชเนียที่จงรักภักดีต่อปูตินอย่างเข้มข้น

 

ในยุคนี้ปูตินได้จัดระเบียบอำนาจใหม่ในหมู่ชนชั้นนำรัสเซีย บรรดาเศรษฐีต่างๆ ที่ไม่ยอมเล่นเกมตามปูตินก็มักจะต้องถูกตั้งข้อหาจนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ และได้มีการนำรัฐวิสาหกิจต่างๆ กลับคืนมาจากผู้บริหารที่ฉ้อฉล เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจด้านพลังงานที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้เข้าประเทศให้รัสเซียได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ รัสเซียค่อยๆ ทยอยปลดหนี้ตั้งแต่สมัยโซเวียต และเปลี่ยนมาเป็นความมั่งคั่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยในการขยายอำนาจของรัสเซียต่อไปในอนาคต ซึ่งผลงานเหล่านี้ได้สร้างคะแนนนิยมเป็นอย่างดี รวมไปถึงการที่ปูติน ผู้ซึ่งมีบุคลิกภาพดูเหมือนว่าคนจะเข้าถึงยาก เอาจริงเอาจัง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ความเป็นจริงเป็นผู้ที่เข้าถึงประชาชน จุดนี้ก็ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากเช่นกัน

 

ในขณะเดียวกันสื่อตะวันตกก็ตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและรายงานการเสียชีวิตอย่างปริศนาของบรรดาผู้สื่อข่าวหรืออดีตเจ้าหน้าที่รัฐแปรพักตร์ของรัสเซีย ภายใต้การบริหารประเทศของปูตินหลายต่อหลายครั้ง

 

ก้าวลงชั่วคราวเพื่อเตรียมครองอำนาจระยะยาว

หลังปูตินดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบ 2 สมัยในปี 2008 จึงเปิดทางให้ ดมิทรี เมดเวเดฟ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และปูตินก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากละครฉากหนึ่งที่สลับตำแหน่งกันเป็น แต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่กับปูติน ในยุคนี้เมดเวเดฟมีผลงานหลายอย่าง โดยเฉพาะสงครามสั่งสอนจอร์เจีย ซึ่งก็คาดกันว่าน่าจะเป็นความคิดของปูติน หรืออย่างน้อยก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากปูติน 

 

ก่อนที่เมดเวเดฟจะหมดวาระลงในปี 2012 ได้จัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่ประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งได้เพียง 4 ปีในแต่ละวาระ แก้เป็น 6 ปีโดยไม่เกิน 2 วาระ

 

Vladimir Vladimirovich Putin

ภาพ: Sasha Mordovets / Getty Images

 

ผู้นำตลอดกาล?

ปูตินได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอีกครั้งในปี 2012 โดยมีผลงานต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาให้รัสเซียก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ทั้งในแง่ของฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศ และบทบาทการเมืองระหว่างประเทศ ความมั่งคั่งจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียนำมาสู่การลงทุนในประเทศหลายอย่าง และการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ให้แต่ละเมืองของรัสเซียสามารถรองรับการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ ทั้งการประชุมหรือการแข่งขันกีฬาได้ เช่น วลาดิวอสต็อก โซชิ ฯลฯ รัสเซียกลายเป็นผู้มีทองคำสำรองมากเป็นอันดับ 5 ของโลก (ในปี 2021)

 

ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีการตรากฎหมายที่ฝ่ายตะวันตกเรียกว่าเป็นการเริ่มลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอินเทอร์เน็ต กฎหมาย ‘Inogent’ ที่กำกับดูแลองค์กรที่มีท่อน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศ เป็นต้น

 

จากเหตุการณ์ปฏิวัติไมดานในยูเครนที่ขับไล่รัฐบาลโปรรัสเซียเมื่อปี 2014 ที่แม้รัสเซียจะเสียผลประโยชน์ในยูเครน ก็ได้สร้างคะแนนความนิยมในตัวปูตินได้เช่นกัน เมื่อรัสเซียใช้ข้ออ้างที่รัฐบาลใหม่ของยูเครนมีนโยบายใหม่ละเมิดชนเชื้อสายรัสเซีย จนรัสเซียสนับสนุนให้ไครเมียแยกและมาผนวกรวมกับรัสเซียได้สำเร็จเมื่อปี 2014 ยิ่งสร้างคะแนนนิยมให้ปูตินเป็นอย่างมาก

 

ในขณะเดียวกันนับแต่นั้นเป็นต้นมาเศรษฐกิจรัสเซียก็เริ่มถดถอยจากนโยบายคว่ำบาตรของโลกตะวันตกจากกรณีดังกล่าวเช่นกัน จึงมีสัญญาณความนิยมที่เป็นช่วงขาลง

 

ปูตินได้รับเลือกให้เป็นผู้นำรัสเซียอีกสมัยในปี 2018 ท่ามกลางข้อกังขาเรื่องความโปร่งใสจากสื่อตะวันตก แต่ปูตินก็ไม่สน เดินหน้าปกครองและบริหารรัสเซียต่อไป ปูตินจัดสรรให้สัดส่วนงบประมาณจำนวนมากลงมาในภาคความมั่นคง ทั้งทหารและตำรวจ ดังนั้นกลไกที่ควบคุมความสงบเรียบร้อยจึงแข็งแกร่งมาก แม้จะมีผู้นำฝ่ายค้านนอกสภาอย่าง อเล็กเซย์ นาวัลนี (Alexei Navalny) เปิดแคมเปญแฉปูตินและจัดม็อบชนปูติน ก็ถูกทางการรัสเซียควบคุมไว้ได้อยู่ รวมไปถึงการปฏิรูประบบบำนาญ จึงได้ฐานเสียงสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนผู้สูงวัย

 

และในสมัยนี้เองที่มีการจัดประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ Set Zero ระยะเวลาสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หมายความว่าปูตินที่ควรจะต้องลงจากตำแหน่งผู้นำในสมัยที่ 2 ในปี 2024 นั้นจะสามารถมีสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้งได้อีก โดยวาเลนตินา เทเรชโควา (Valentina Tereshkova) อดีตนักบินอวกาศหญิงคนแรกของโลกและของรัสเซีย เป็นผู้เสนอญัตตินี้ในฐานะวุฒิสมาชิก และได้รับการเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

แม้ว่าเราจะยังไม่เห็นว่าจุดสิ้นสุดความเป็นผู้นำปูตินอยู่ตรงไหน

 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทิ้งไพ่ใบสำคัญอย่างการตัดสินใจเข้าบุกยูเครนในครั้งนี้นั้นได้ทำให้ชื่อเสียงของปูตินหักเหไปในทางลบทันที รวมไปถึงมติมหาชนชาวรัสเซียจำนวนมากก็ไม่ได้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว

 

ไพ่นี้จะเป็นไพ่เสียหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising