วันนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เชื่อว่าเป็นค่ำคืนที่แฟนมวยปล้ำทั่วโลกจำได้ไม่เคยลืม
ใช่แล้ว, ผมกำลังพูดถึง ‘เอ็ดดี เกร์เรโร’ นักมวยปล้ำสุดแสบ ผู้เปิดตัวมาพร้อมกับวลี “Viva La Raza” และรถยนต์เต้นได้ ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาและรอยยิ้มจากแฟนมวยปล้ำในสนามอยู่เป็นประจำ
ในวันที่เอ็ดดีคว้าแชมป์โลกกับสมาคม WWE ได้เป็นครั้งแรก ในคู่เอกของศึก No Way Out 2004 หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจให้แฟนมวยปล้ำอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ถึงวันนี้ตัวเอ็ดดีจะจากโลกใบนี้ไปนานกว่า 19 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าลีลาการปล้ำสุดกวน ผลงาน และเสียงหัวเราะที่เขามอบให้แฟนมวยปล้ำ จะทำให้ชื่อของเอ็ดดียังวนเวียนอยู่ในหัวใจแฟนมวยปล้ำเสมอมา
เอ็ดดี เกร์เรโร เกิดในเมืองเอลพาโซ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ภายในตระกูล ‘เกร์เรโร’ ที่มีชื่อเสียงในวงการมวยปล้ำของเม็กซิโก
แน่นอนว่าการที่ได้เกิดมาในสายเลือดของนักมวยปล้ำอาชีพ ทำให้ชีวิตของเอ็ดดีย่อมหนีไม่พ้นชีวิตที่ต้องฝึกซ้อมมวยปล้ำบนสังเวียนสี่เหลี่ยม ตามรอยบรรดาพ่อและญาติพี่น้องที่ต่างก็เป็นนักมวยปล้ำกันด้วยทั้งนั้น
เอ็ดดีออกสตาร์ทด้วยการเป็นนักมวยปล้ำในมหาวิทยาลัย เขาได้ฝึกซ้อมกับพ่อของเขา (กอรี เกร์เรโร) จนเริ่มมีฝีไม้ลายมือที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และได้แสดงมวยปล้ำแบบจริงจังในปี 1987 กับสมาคมมวยปล้ำชื่อดังในเม็กซิโก จนฝีมือและชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวเม็กซิโกในเวลาอันรวดเร็ว
ชีวิตในฐานะนักมวยปล้ำช่วงเริ่มต้นของเขาเหมือนใบไม้ที่ถูกพัดปลิวไปตามกระแสลม เอ็ดดีตระเวนไปปล้ำเก็บประสบการณ์ตามสมาคมต่าง เช่น NJPW, ECW และ WCW หนึ่งในสถานที่ที่มอบชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดในช่วงกลางยุค 90
ช่วงชีวิตกับ WCW เขาประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ยูเอส, ครูเซอร์เวต และได้รับโอกาสให้ก่อตั้งกลุ่ม Latino World Order (L.W.O) คือการรวมตัวกันของกลุ่มนักมวยปล้ำลาตินอเมริกา (ซึ่งในปี 2023 WWE ได้มีการหยิบชื่อทีมนี้มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งภายใต้การนำทีมโดย เรย์ มิสเตอร์รีโอ)
วันเวลาผ่านไป เอ็ดดีเริ่มไม่มีความสุขกับการทำงานภายใต้สมาคม WCW ตัวเขาและผองเพื่อนบางส่วน เช่น คริส เบนวา และ ดีน มาเลนโก ย้ายข้ามฟากไปอยู่กับสมาคม WWE ที่เป็นคู่ปรับสำคัญของ WCW ในแง่ของธุรกิจวงการมวยปล้ำในห้วงเวลานั้น
เอ็ดดีเริ่มต้นชีวิตใน WWE กับฉายาใหม่อย่าง Latino Heat (ลาติโนฮีต) พร้อมได้รับตำแหน่งแชมป์ยูโรเปียนและแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลในช่วงปี 2000
ทว่าชีวิตบนสังเวียนของเอ็ดดีนั้นที่เริ่มจะมีบทบาทดีๆ กับ WWE มีอันต้องถูกพับเก็บใส่ลิ้นชักลงไป เพราะในปี 2001 เป็นช่วงที่เอ็ดดีหายจากวงการไปนานแรมปี เพื่อรับการบำบัดอาการติดยาและติดสุรา จนเรียกได้ว่าเป็นมรสุมชีวิตที่เขาต้องเผชิญอย่างหนักจากการไม่รู้จักควบคุมตัวเอง และถูกปล่อยตัวออกจาก WWE ในที่สุด
หลังออกมาเป็นนักมวยปล้ำอิสระ เอ็ดดีได้ทำเหมือนในช่วงต้นของอาชีพ คือการตระเวนไปปล้ำกับสมาคมอินดี้ต่างๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
จนในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสครั้งที่ 2 จาก WWE ให้กลับมาเป็นนักมวยปล้ำประจำของสมาคมฯ อีกครั้ง ในบทบาทของนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมที่เรียกเสียงโห่ได้เป็นอย่างดี
หลังกลับมาได้ไม่นาน เอ็ดดีได้โยกย้ายไปทำงานในศึก WWE Smack Down ในฐานะนักมวยปล้ำที่แท็กทีมร่วมกับ ชาโว เกร์เรโร หลานชายของเขาเอง ในนาม ‘Los Guerreros’ พร้อมสโลแกนของทีมว่า ‘Lie, Cheat and Steal’ ซึ่งทำหน้าที่เรียกเสียงโห่ได้ดีจากแฟนๆ ในยุค 2002-2003
กระทั่งในปี 2004 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในฐานะนักมวยปล้ำอาชีพของ Latino Heat ได้เริ่มขึ้น ตามบทบาทในตอนนั้น เอ็ดดีและชาโวถูกจับแยกออกจากการเป็นนักมวยปล้ำคู่ ให้กลายเป็นนักมวยปล้ำเดี่ยว โดย WWE ทำเนื้อเรื่องให้ชาโวเป็นฝ่ายหักหลังเอ็ดดี และนำไปสู่การสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างอากับหลาน ในศึก Royal Rumble 2004
ถึงตรงนี้กระแสนิยมในตัวเอ็ดดีพุ่งสูงขึ้นในทุกๆ วัน หลังออกมาฉายเดี่ยวได้ไม่นาน เอ็ดดีก็ได้รับชัยชนะแมตช์ Royal Rumble ฉบับ 15 คน พร้อมคว้าสิทธิ์ชิงแชมป์โลก WWE กับ บร็อก เลสเนอร์ ในศึก No Way Out 2004
และค่ำคืนนั้นเอง เอ็ดดีที่ถูกมองว่าเป็นรองในทุกด้าน เดินเข้าสังเวียนเผชิญหน้ากับ บร็อก เลสเนอร์ เจ้าของแชมป์สุดแข็งแกร่งในเวลานั้น
และแมตช์การปล้ำในค่ำคืนนั้นดำเนินไปอย่างสนุก แม้ในภาพรวมจะเป็นเอ็ดดีที่โดนยำชุดใหญ่จากพลังกำลังทางร่างกายที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นเอ็ดดีที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมตุกติกก็สู้ได้ดี และชวนให้แฟนมวยปล้ำพากันลุ้นระทึกสุดๆ
ท้ายที่สุด ท่ามกลางแมตช์ที่ทุลักทุเลและยากจะคาดเดา เอ็ดดีสามารถจัดการใส่ท่าไม้ตาย Frog Splash เล่นงาน บร็อก เลสเนอร์ จนกดนับ 3 และคว้าแชมป์โลกไปฉลองกับผู้ชมในสนาม Cow Palace อย่างยิ่งใหญ่
หลังจากนั้นเอ็ดดีก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำชั้นแนวหน้าของ WWE อย่างรวดเร็ว เขาเป็นนักมวยปล้ำที่มีฝีมือฉกาจและเป็นที่รักของเพื่อนนักมวยปล้ำและบุคลากรเบื้องหลังอีกมากมาย
เขาสร้างแมตช์ที่ยอดเยี่ยมกับ เคิร์ต แองเกิล ในศึก WrestleMania ครั้งที่ 20 และปิดรายการคืนนั้นด้วยการออกมาชูมือกับ คริส เบนวา เพื่อนรักและเพื่อนคนสำคัญของเอ็ดดี เพื่อฉลองแชมป์ทั้งสองเส้นที่อยู่ในมือของพวกเขาอย่างงดงามและประทับใจแฟนๆ
ชีวิตนักมวยปล้ำของเอ็ดดีหลังจากนั้นไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเทียบเท่ากับสิ่งที่เขาสร้างไว้ในช่วงต้นปี 2004
เขายังคงเป็นนักมวยปล้ำขวัญใจแฟนๆ เป็นจอมกะล่อนและมักจะหาช่องทางตุกติก (ขี้โกง) กับคู่ต่อสู้อยู่เสมอ แต่เชื่อมั้ยว่านั่นคือสิ่งที่แฟนๆ ต่างชื่นชอบ เพราะมุกและกลเม็ดของเขามันแยบยลจนเป็นภาพจำติดตัวเขาในฐานะ ‘ตัวแสบ’ ของวงการมวยปล้ำ
และเป็นที่น่าเสียดาย หลังยืนอยู่บนจุดสูงของสมาคม WWE ในปี 2004 ในห้วงเวลา 1 ปีให้หลัง เอ็ดดีจากโลกนี้ไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2005 เอ็ดดี เกร์เรโร เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 38 ปีเนื่องจากโรคหัวใจวายฉับพลัน และเหตุการณ์นี้สร้างความโศกเศร้าให้กับทุกคนในวงการ โดยเฉพาะแฟนมวยปล้ำที่ต้องสูญเสียนักมวยปล้ำยอดฝีมือที่เคยมอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะผ่านหน้าจอเสมอมา
ถึงวันนี้เอ็ดดีจะอำลาโลกนี้ไปนานกว่า 19 ปีแล้ว แต่เราเชื่อว่าผลงานของเขาที่ฝากไว้บนสังเวียนในฐานะนักมวยปล้ำจอมแสบ จะยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของแฟนมวยปล้ำเสมอมาและตลอดไป
Viva la Raza 🤍