×

‘วีซ่าฟรี’ จีนและคาซัคสถาน​ ช่วยบู๊ตเศรษฐกิจโค้งท้ายปีโต 2.5-3% กกร.หวัง ‘เศรษฐา’ ฟื้นความเชื่อมั่นในทริปเยือนจีนกลางเดือน ต.ค. นี้

04.10.2023
  • LOADING...

กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5-3% หลังการให้วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถานช่วยบู๊ตเศรษฐกิจท้ายปี มองเหตุการณ์พารากอนเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่กระทบรุนแรง หวังเศรษฐาเรียกความเชื่อมั่น พร้อมแนะรัฐบาลอย่าหว่านแหนโยบาย Digital Wallet 10,000 บาท ควรเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด และควรเกลี่ยงบ 5.6 แสนล้านบาทไปบริหารจัดการน้ำและด้านอื่นๆ 

 

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมีสมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า​ ในการประชุม กกร. ประจำเดือนตุลาคม ที่ประชุมวางกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 คงกรอบเดิม โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ยังคงเติบโต 2.5-3% ขณะที่ภาคการส่งออกยังคงติดลบ -2.0 ถึง -0.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.7-2.2% 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

โดยปัจจัยบวกจากมาตรการเปิด​ ‘วีซ่าฟรี’ ของภาครัฐแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน​และ​คาซัคสถาน​ ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) รวมไปถึงสัปดาห์ Gloden Week ของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้เป็นอย่างดี และจะมีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29-30 ล้านคนในปีนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม ชื่นชมรัฐบาลตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการพิจารณาวีซ่าฟรี ซึ่งแม้ว่ามีเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา​เพื่อเพิ่มเที่ยวบินตามลำดับ รวมไปถึงเรื่องภาพลักษณ์​ของประเทศไทย​ที่ต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่น​ เพราะในโลกอินเทอร์เน็ตหรือการเผยแพร่ผ่านอินฟลูเอ็นเซอร์เป็นข่าวด้านลบค่อนข้างเร็ว ​ 

 

เมื่อถามถึงกรณีเยาวชนอายุ 14 ปี ยิงนักท่องเที่ยวจีนนั้น สนั่นระบุว่า

 

“ต้องแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หวังว่าในวันที่ 18-19 ตุลาคมนี้ กำหนดการที่นายกฯ จะเดินทางไปจีน ก็คาดหวังว่าท่านจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยในการเข้ามาเที่ยวไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะกรณีเยาวชนอายุ 14 ปี ก่อเหตุยิงในห้างสรรพสินค้าพารากอนนั้น มองว่า

 

เป็นเหตุสุดวิสัยเหนือกว่าที่คาดคิดไว้มากจริงๆ แต่มองว่าคงไม่ได้มีผลกระทบมากจนเกินไปนัก” สนั่นกล่าว

 

 

ห่วงเงินบาทอ่อน 

 

อย่างไรก็ตาม กกร. ยังคงเกาะติดค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องในเวลานี้ เนื่องจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงที่นานกว่าที่คาด ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่แผ่วลงในช่วงนี้ ส่งผลให้ค่าเงินหยวนและค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง 

 

รวมถึงปัจจัยภายในประเทศจากความกังวลในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น 

 

ทั้งนี้ แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าค่อนข้างเร็วในเดือนกันยายน แต่โดยรวมยังสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคในช่วง 9 เดือนแรกของปี

 

เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น

 

ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ล่าสุด OECD ประเมินว่า GDP ของโลก จะเติบโตเพียงประมาณ 3.0% ในปี 2566 และเพียง 2.7% ในปี 2567 โดยปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศในภูมิภาคเอเชีย ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั้งภาคบริการและภาคการผลิต ส่งผลให้การส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เผชิญความเสี่ยงจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้า

 

แนะรัฐบาลจำกัดกลุ่มเป้าหมายนโยบาย Digital Wallet 

 

สำหรับนโยบาย Digital wallet 10,000 บาทนั้น  กกร. มองว่าการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการน้ำควรเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเห็นว่ารัฐควรนำงบประมาณบางส่วนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง Digital Wallet ที่มีวงเงิน 5.6 แสนล้านบาท มาจัดสรรน้ำ เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย

 

“กกร. มองว่ากลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ 56 ล้านคนนั้น ควรจำกัดการสนับสนุนให้แคบลง เพราะอย่างผม 3 คนที่แถลงข่าวอยู่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องรับ ควรมองกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ เช่น คนที่เคยได้รับสวัสดิการของรัฐในแอปพลิเคชันเป๋าตังราว 40 ล้านราย รัฐบาลควรมองข้อมูลเชิงลึกจากจุดนี้”

 

ทั้งนี้  เมื่อเราจำกัดการใช้จ่ายด้วยการเจาะกลุ่ม ก็จะทำให้เหลือวงเงินในการที่จะนำไปใช้พัฒนาบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น เพราะปีนี้น้ำใช้ได้จริงแค่ 54% ซึ่งต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่อยู่ 66% หากเกิดภาวะแล้งและเอลนีโญต่อเนื่อง น้ำต้นทุนจะเหลือน้อย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ต้องเร่งบริหารจัดการ

 

สมาคมธนาคารเห็นพ้องใช้ฐานข้อมูลนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐ

 

ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กกร. เห็นว่ารัฐบาลเคยทำนโยบายรัฐสวัสดิการแห่งรัฐ ก็จะมีรายชื่ออยู่ในระบบอยู่แล้วราว 40 ล้านคน 

 

“ควรประหยัดงบส่วนนี้ ซึ่งแทนที่จะแจกทั้งหมดแล้วนำไปจัดการน้ำ และมองว่าประโยชน์สูงสุดก็คือต้องเน้นการซื้อที่ดูเรื่องการใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นสำคัญ”

 

ด้าน ทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร. มีความกังวลถึงการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน “ควรให้คณะกรรมการค่าจ้างกลางหรือไตรภาคีเป็นฝ่ายพิจารณาตามกฎหมายที่กำหนด เพราะแม้แต่จังหวัดก็มีบางอำเภอที่มีความสามารถในการจ่ายไม่เท่ากัน และการขึ้นในอัตราดังกล่าวถือว่าสูงมาก” ทวีกล่าวทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising