×

โลกเสมือนจะบรรจบกับชีวิตจริง! 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะกำหนดโลกในปี 2018

21.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ความเข้าใจจะเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะให้ใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น
  • AI จะขยายบทบาทไปสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมทุกขนาด พร้อมความสามารถที่หลากหลาย อาทิ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงเพื่อพัฒนาระบบแต่ละส่วน อ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภคที่ไม่แสดงผ่านพฤติกรรม แต่การพัฒนา AI ที่ฉลาดเหนือมนุษย์นั้นยังคงต้องรอกันไปอีกนาน
  • ใบหน้าและลายนิ้วมือจะทำหน้าที่แทนบัตรเครดิต ใบขับขี่ หรือแม้แต่กุญแจรถ

นักวิชาการและนักธุรกิจต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปี 2017 เป็นปีแห่งความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI บริษัทยักษ์ใหญ่พยายาม ‘คิดใหม่’ และ ‘ทำใหม่’ ทั้ง Microsoft, Amazon, Google และ Facebook แข่งกันประกาศตัวเป็นบริษัทด้าน AI (AI Company)

 

ขณะที่รัฐบาลจีนเพิ่งเผยแผนยุทธศาสตร์สนับสนุนการพัฒนา AI ปี 2018-2020 ไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้าน AI และหุ่นยนต์ เช่น การผลิตชิปประมวลผลโครงข่ายประสาทเทียม หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ และ Machine Learning สำหรับการแพทย์ ซึ่งหมายความว่าการแข่งขันของตลาดเหล่านี้จะดุเดือดขึ้นแน่นอน

 

นอกจากจะชู AI เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ รัฐบาลจีนยังประกาศว่าจะนำ AI มาใช้แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและพลังงานในอุตสาหกรรมการผลิตภายในปี 2020 ชนิดที่สวนกระแสไม่แคร์โลกร้อนของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ว่าได้

 

ถ้าปี 2017 คือปีแห่งความก้าวหน้าของ AI แล้วปี 2018 จะเป็นปีแห่งอะไร?

 

บรรดาสำนักเทรนด์ สื่อมวลชน และผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจได้เผยรายชื่อของเทคโนโลยีที่จะกำหนดทิศทางของปี 2018 ออกมาแล้ว

 

มาดูกันดีกว่าว่าอนาคตอันใกล้จะเดินไปในทางไหน?

 

Photo: Siemens

 

Digital Twin กุญแจสู่อุตสาหกรรม 4.0

ปี 2018 เราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม-ธุรกิจสู่ยุค 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

 

‘Digital Twin’ (หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับคำนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้เราเชื่อว่าคำนี้จะได้รับการพูดถึงมากขึ้น) เป็นซอฟต์แวร์ที่จะเข้ามาจัดเก็บข้อมูลและพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรธุรกิจ ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากระบบเซนเซอร์และทำสำเนาเป็นข้อมูลดิจิทัล (เรียกง่ายๆ ว่า ‘ก๊อปปี้’ ข้อมูลทั้งหมดไว้อีกที่หนึ่ง ถ้าเปรียบก็เหมือนสร้างแฝด (Twin) หรือโคลนนิ่งข้อมูลของสิ่งของหรือสภาพแวดล้อมขึ้นมา) เช่น เครื่องจักรในโรงงาน อาคารสิ่งก่อสร้าง อุปกรณ์ IoT เพื่อนำไปวิเคราะห์และรายงานผลแบบเรียลไทม์

 

โดยองค์กรสามารถใช้ Voice Assistant (ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น Siri) เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในการจัดการโมเดลจำลองข้อมูล ตัดสินใจวางแผนการทำงาน ตรวจสอบความผิดปกติ และคาดการณ์ล่วงหน้า เช่น แจ้งเตือนเครื่องจักรที่เสี่ยงใช้งานไม่ได้ พร้อมกับหาสาเหตุ วิธีนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุง ตลอดจนเพิ่มผลผลิตและโอกาสทางธุรกิจอย่างแม่นยำ

 

ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วยังนึกภาพ Digital Twin ไม่ออก เราอยากให้ลองจินตนาการถึงรถยนต์ที่คุณสามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ เช่น ระบบเครื่องยนต์ อะไหล่ น้ำมัน ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ฯลฯ จากสมาร์ทโฟนได้แบบเรียลไทม์ เมื่อรถยนต์มีปัญหาหรือเกิดความผิดปกติ ระบบก็จะแจ้งเตือนทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณอาจต้องเอารถเข้าศูนย์เพื่อให้ช่างหาสาเหตุและซ่อมแซม แต่ระบบ Digital Twin จะบอกว่าปัญหานั้นเกิดจากอะไร พร้อมกับแนะนำวิธีแก้ไข เช่น คุณสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้หรือไม่ ถ้าได้จะแก้ไขอย่างไร หรือถ้าจำเป็นต้องนำเข้าศูนย์ ช่างที่ศูนย์ก็จะรู้ว่าควรจะซ่อมแซมรถยนต์ตรงจุดไหน

 

 

คลิปบริษัท GE อธิบายการทำงานของ Digital Twin ในโรงงานไฟฟ้ากังหันไอน้ำในแคลิฟอร์เนีย


Gartner บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้านไอทีชั้นนำของโลกชี้ว่า ในปีหน้าเทคโนโลยีนี้จะถูกต่อยอดในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การดูแลวงจรการผลิตทั้งระบบ การออกแบบวิศวกรรม การวางผังอาคาร ไปจนถึงการออกแบบเมืองอัจฉริยะ ปัจจุบันมีบริษัทหลายรายที่เริ่มให้บริการกับภาคธุรกิจ เช่น IBM, Siemens และ General Electric (GE)

 

Photo: microsoft.com

 

Digital Reality ดำดิ่งสู่ประสบการณ์เสมือนในโลกจริง

Deloitte ชี้ว่า Digital Reality (DR) จะเข้ามามีอิทธิพลในปี 2018 ครอบคลุมตั้งแต่ AR, VR, กล้อง 360 องศา, ระบบเซนเซอร์, Immersive Technology ไปจนถึง MR (Mixed Reality) หรือความจริงผสมที่นำข้อมูลของโลกจริงกับโลกเสมือนมารวมไว้ด้วยกัน (หรือ AR กับ VR นั่นเอง) โดยที่ผู้ใช้สามารถใส่อุปกรณ์สวมศีรษะและปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลคอนเทนต์ที่ปรากฏในโลกจริงได้

 

นอกเหนือจากอุตสาหกรรมเกมที่จะทำรายได้มหาศาล ดูเหมือน DR จะได้รับความสนใจในศาสตร์สาขาอื่นไม่แพ้กัน องค์กรธุรกิจจะนำมาใช้ประชุมทางไกล ทดลองวิจัยผลิตภัณฑ์ และการฝึกพนักงาน

 

บริษัท Unity Technologies ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเกมเผยว่า ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ นำ DR เข้าไปต่อยอดธุรกิจแบบครบวงจร เช่น ออกแบบยานยนต์ ฝึกฝนพนักงานภาคปฏิบัติ ทดสอบรถยนต์อัตโนมัติ วางแผนมาร์เก็ตติ้งและพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า

 

 

นอกจากเราจะได้เห็นการแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวระหว่าง Microsoft, Apple กับ Facebook ปะทุเดือดในปี 2018 Charlie Fink คอลัมนิสต์และที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี VR ยังคาดการณ์ว่าตลาดแอปพลิเคชันที่รองรับ AR, VR, MR มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นในธุรกิจประเภทค้าปลีก การท่องเที่ยว และการแพทย์

 

Photo: Shutterstock

 

AI จะเป็นพื้นฐานของทุกธุรกิจ แต่ AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ยังอีกยาวไกล

หลายคนน่าจะได้ยินข่าวธุรกิจแบรนด์ดังหันมาใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ข้อมูลหาอินไซต์ลูกค้ากันบ้าง Gartner เผยว่า AI จะมีบทบาทต่อไปในปี 2018 และเข้าถึงกลุ่มธุรกิจทุกขนาด บริษัทน้อยใหญ่จะลงทุนกับ AI ที่วิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Analytics) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในยุค Digitization

 

Jan Kautz ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Visual Computing and Machine Learning Research บริษัท NVIDIA มองว่า AI จะกลายเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ที่เก่งกาจและรู้ใจผู้บริโภคเป็นที่สุด ถึงขั้นที่สามารถแต่งเพลงที่ตรงกับรสนิยมของผู้ฟังแทนการเลือกเพลงโปรดตามระบบอัลกอริทึม ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนของการทำตลาด Personalization อย่างแท้จริง

 

ฝั่งวงการแพทย์ก็ตื่นตัวกับความก้าวหน้าของ AI เช่นกัน อย่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย McMaster and Vanderbilt University ได้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์และคาดคะเนวิธีรักษาโรคซึมเศร้าและโรคมะเร็งเต้านมที่เหมาะสมกับเคสของผู้ป่วยแต่ละราย

 

เมื่อมองภาพรวมของการปรับใช้ AI ในแต่ละอุตสาหกรรม เป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่

 

McKinsey บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารธุรกิจระดับโลกประเมินว่า ในปี 2015-2065 ระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางผลิตภาพการผลิตของเศรษฐกิจระดับมหภาคได้ถึง 0.8-1.4% ต่อปี แต่ที่น่ากังวลคือ เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบในระยะยาวจากระบบอัตโนมัติที่เข้ามาทำงานแทน

 

อย่างไรก็ตามนักวิชาการบางส่วนกลับเห็นต่างไป Erik Brynjolfsson ผู้อำนวยการ MIT Initiative on the Digital Economy สถาบัน MIT ได้เผยแพร่บทความวิชาการว่าด้วยประเด็นพัฒนาการของ AI ที่ล่าช้า สวนทางกับจำนวนการศึกษาวิจัยและหุ้นการลงทุนในธุรกิจสาย AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน AI ยังพัฒนาไปไม่ถึงจุดที่มีความฉลาดเทียบเท่าหรือเหนือกว่าคน

 

มุมมองของ Erik สอดคล้องกับข้อมูลของ AI Index โครงการที่มุ่งศึกษาความก้าวหน้าของ AI ตลอด 100 ปี Raymand Perrault นักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิจัย SRI International หนึ่งในนักวิจัยโครงการดังเผยว่า สาธารณชนมักจะคิดว่านักวิทยาศาสตร์พัฒนา AI ไปไกลกว่าความเป็นจริง พร้อมชี้ว่าความสามารถการทำงานเฉพาะทางหรือแข่งเกมชนะแชมป์โลกก็ยังห่างไกลจากความฉลาดทั่วไป หรือ Artificial General Intelligence

 

หุ่นยนต์ Jibo

 

Emotional Economy ออกแบบเทคโนโลยีให้มีหัวใจ

Richard Yonck ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Intelligent Future Consulting ผู้เขียนหนังสือ Heart of Machine กล่าวว่าในอนาคตจะเป็นยุคเฟื่องฟูของระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า Emotional Economy กล่าวคือเมื่อเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันหรือแม้แต่ทำงานกับเรา ก็จำเป็นต้องเข้าใจ ‘อารมณ์ความรู้สึก’ ของมนุษย์หรือผู้ใช้งานมากขึ้น หรือมี empathy นั่นเอง แนวคิดนี้จะมีอิทธิพลในการออกแบบนวัตกรรม ตั้งแต่รถยนต์ไร้คนขับไปจนถึงหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ส่วนผู้ประกอบการและนักการตลาดจะหันมาพึ่ง AI ในการอ่านอารมณ์และความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ได้แสดงผ่านพฤติกรรม

 

ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ ‘Jibo’ ของ Cynthia Breazeal นักวิจัยจากเอ็มเอทีที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับครอบครัว มันสามารถพูดคุย ถามตอบ และจดจำใบหน้าของคนที่พูดคุยโต้ตอบ สิ่งที่ทำให้หุ่นยนต์ตัวนี้แตกต่างไปจากหุ่นยนต์อื่นๆ คือมันได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรและเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของคน เหมือนกับเป็นสมาชิกในบ้าน จึงไม่แปลกที่ Jibo จะติดอันดับ 1 ใน 25 สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2017

 

ในอีกด้านหนึ่งจริยธรรมและอคติในการสร้างหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงในระดับสากล เช่น การเลือกใช้เสียงผู้หญิงใน Voice Assistant ถูกมองว่าเป็นการกดขี่ผู้หญิง การพูดกับ Voice Assistant ด้วยถ้อยคำล่วงละเมิดหรือแสดงความต้องการทางเพศ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มักถูกออกแบบโดยผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ประเด็นดังกล่าวได้ปลุกกระแสให้ผู้หญิงมีบทบาทในวงการนี้มากขึ้น

 

นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ยังกังวลว่าหากหุ่นยนต์และ AI เกิดก่ออาชญากรรมขึ้นมา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ หรือแม้แต่การคุ้มครองแรงงานที่จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติในอนาคตอันใกล้ ปัจจุบันรัฐบาลหลายประเทศมีแนวโน้มสนใจการร่างกฎหมายควบคุมเทคโนโลยีอัจฉริยะเหล่านี้ขึ้นมา

 

Photo: AFP

 

ระบบสแกนใบหน้า-ไบโอเมตริก จะมาแทนที่บัตรเครดิตและใบขับขี่

หลังจากบริษัท Ant Financial เปิดตัวเทคโนโลยี Smile to Pay ที่ให้ลูกค้า KFC จ่ายเงินผ่านระบบสแกนใบหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เราน่าจะได้เห็นบริษัทและหน่วยงานองค์กรอื่นนำไปใช้กับบริการอื่นๆ ที่ต้องอาศัยการระบุยืนยันตัวตน เช่น ตรวจสอบอาชญากรรม ใช้แทนใบขับขี่ บัตรประชาชน หรือแม้แต่กุญแจรถยนต์ไร้คนขับ

 

ด้าน Georges Nahon ซีอีโอบริษัท Orange Silicon Valley ที่สนับสนุนลงทุนสตาร์ทอัพให้ความเห็นว่า เทคโนโลยีไบโอเมตริกจะเข้ามาตอบโจทย์ pain point ของการเข้าคิวชำระเงินในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าในอนาคตอันใกล้

 

อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีดังกล่าวยังมีช่องโหว่อยู่มาก เช่น ระบบ Face ID ที่เจอปัญหาโดนแฮก หรือเกิดปลดล็อกให้กับคนหน้าคล้ายกัน

 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของเทคโนโลยีที่คาดการณ์ว่าจะกำหนดทิศทางปี 2018 ที่เราหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น เพราะเทคโนโลยีในวันนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

วิธีรับมือที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่การอ่านบทความนี้เพื่อรู้ แต่คือการยื่นมือไปโอบรับอนาคตแห่งโอกาสและความท้าทายด้วยตัวเอง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising