×

ส่องตลาดหุ้น ‘เวียดนาม’ น่าดึงดูดอย่างไรบ้าง ขณะที่ ดร.นิเวศน์ เชื่อมั่น เติบโตเร็วจากฐานต่ำ

09.12.2020
  • LOADING...
ส่องตลาดหุ้น ‘เวียดนาม’ น่าดึงดูดอย่างไรบ้าง ขณะที่ ดร.นิเวศน์ เชื่อมั่น เติบโตเร็วจากฐานต่ำ

HIGHLIGHTS

  • สองดัชนีหลักของตลาดหุ้นเวียดนามอย่าง VN30 และ HNX30 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นท็อป 30 ของทั้งสองดัชนี ปีนี้สร้างผลตอบแทนค่อนข้างน่าประทับใจ โดย VN30 +12.8% ส่วน HNX30 +51.6% 
  • ปัจจัยหลักที่หนุนให้ตลาดหุ้นเวียดนามสร้างผลตอบแทนดีในปีนี้คือ การควบคุมโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทำให้เศรษฐกิจภาพรวมยังขยายตัวได้เล็กน้อย โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าทั้งปีนี้จะขยายตัวได้ 2.5-3%
  • สำหรับปี 2564-2568 เวียดนามตั้งเป้า GDP ขยายตัวเฉลี่ย 6.5-7% ต่อปี 
  • กลุ่มหุ้นเวียดนามที่ถูกคัดเลือกอยู่ในดัชนี MSCI มีมูลค่ารวมกัน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ปัจจุบันเป็นดัชนีที่มีน้ำหนักมากที่สุดในกลุ่ม MSCI Frontier ราว 28.8%
  • ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนวีไอ ซึ่งเข้าไปลงทุนในเวียดนามช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตสูงจากฐานที่ต่ำ โดยมีความน่าสนใจในเกือบทุกอุตสาหกรรม เมื่อดูจากขนาดเศรษฐกิจที่ยังเล็กกว่าไทยอยู่เกือบ 50%

หากพูดถึงตลาดหุ้นเวียดนาม หลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ตลาดหลัก คือ Ho Chi Minh Stock Exchange (HOSE) และ Hanoi Stock Exchange (HNX) และหากต้องการติดตามการเคลื่อนไหวของหุ้นระดับท็อปของทั้ง 3 ตลาด เราอาจพิจารณาจากดัชนี VN30 ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้น 30 บริษัทใหญ่ในตลาด HOSE และดัชนี HNX30 ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้น 30 บริษัทใหญ่ในตลาด HNX ส่วนดัชนีภาพรวมอย่าง ดัชนี VN หรือ Vietnam Ho Chi Minh Stock Market เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 1,033.3 จุด +7.6% จากต้นปี 2563

 

ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดัชนี VN30 ให้ผลตอบแทนราว 12.8% ขณะที่ดัชนี HNX30 ให้ผลตอบแทน 51.6% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2563) เทียบกับดัชนี SET50 ของไทยซึ่งยังคงติดลบอยู่ราว 10%

 

 

ปัจจัยหลักที่หนุนตลาดหุ้นเวียดนามให้เป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในปีนี้ ส่วนหนึ่งจากบทความของ ธนพล ศรีธัญพงศ์ Manager, Investment Advisory Chief Investment Officer (CIO) บล.ไทยพาณิชย์ ระบุว่า เริ่มต้นจากการที่เวียดนามสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี โดยถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 มีรายงานผู้ติดเชื้อเพียง 1,300 ราย ส่งผลให้เศรษฐกิจเวียดนามยังสามารถขยายตัวได้อยู่เล็กน้อย โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าการเติบโตของปีนี้ถึง 2.5-3% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6.5-7% ระหว่างปี 2564-2568

 

นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นประเทศที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญของโลกทั้ง RCEP, CPTT และ EVFTA ซึ่งครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศกับทุกภูมิภาคในโลก ทำให้เวียดนามมีความน่าสนใจสำหรับการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก

 

และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การที่หุ้นเวียดนามที่ถูกคัดเลือกเข้าไปอยู่ใน MSCI Frontier 100 Index ได้รับการปรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 15.8% เป็น 28.8% ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เนื่องจาก MSCI Kuwait จะถูกปรับไปอยู่ในกลุ่ม Emerging Market แทนนั่นเอง ส่งผลให้นักลงทุนที่ลงทุนโดยอิงจากน้ำหนักของดัชนี MSCI Frontier 100 Index จะเพิ่มน้ำหนักหุ้นเวียดนามที่อยู่ใน MSCI Vietnam เพิ่มขึ้นด้วย

 

จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ดัชนี MSCI Vietnam ประกอบไปด้วยหุ้น 17 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) รวมกัน 2.07 หมื่นล้านดอลลาร์

 

 

ในมุมของนักลงทุนรายบุคคลอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า  (Value Investor) ซึ่งเข้าไปลงทุนในเวียดนามตั้งแต่ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านา เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวที่ผ่านมาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามกว่า 10% ของพอร์ต สำหรับปี 2563 ถือเป็นปีที่ผลตอบแทนน่าพอใจ จากก่อนหน้านี้ที่ไม่ค่อยดีนักสวนทางกับเศรษฐกิจของเวียดนามที่แม้ว่าจะดี แต่ดูเหมือนตลาดหุ้นเวียดนามยังมีประสิทธิภาพไม่ดีนัก ในเชิงของราคาหุ้นที่อาจจะไม่สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง

 

โดยภาพรวมตลาดหุ้นเวียดนามย้อนหลังไป 3-4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทย โดยส่วนตัวได้ผลตอบแทนราว 7-8% ต่อปี แต่คงจะยังไม่ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเวียดนาม เพราะปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยัง Laggard ค่อนข้างมาก ขณะที่ฟันด์โฟลวเพิ่มจะเริ่มไหลเข้าไทย ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าจะไปต่อได้

 

“ณ ตอนนี้คงจะเกาะกระแสของฟันด์โฟลวที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยไปก่อน ซึ่งอาจจะเป็นรอบท้ายๆ ของหุ้นไทยแล้ว เพราะถ้าดูตามพื้นฐานหุ้นไทยไม่ค่อยน่าสนใจ ในระยะยาวต้องคิดหนักว่าจะยังลงทุนในไทยแค่ไหน แต่ก็คงจะต้องมีสัดส่วนอยู่ เพราะว่าเป็นตลาดที่รู้จักดีกว่าตลาดหุ้นอื่น และอีกส่วนหนึ่งคือเรายังคงอาศัยอยู่ที่ประเทศไทย”

 

ส่วนโอกาสในตลาดหุ้นเวียดนามส่วนตัวมองว่า มีความน่าสนใจในเกือบทุกอุตสาหกรรม เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่กำลังเติบโตเร็ว เศรษฐกิจยังเล็กกว่าไทยมาก โดยตัวเลข GDP ยังคงต่ำกว่าไทยเกือบ 50% หรือในมุมของตัวเลข GDP ต่อราย ยังคิดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของไทยเท่านั้น

 

“เวียดนามเป็นสังคมที่กำลังเติบโตเร็วจากฐานที่ต่ำมาก ทำให้แทบทุกอุตสาหกรรมกำลังเติบโต เช่น อุตสาหกรรมการเงินที่ยังเติบโตได้เป็นเลขสองหลัก ขณะที่ในไทยเริ่มอิ่มตัว หรือค้าปลีกสมัยใหม่ก็เพิ่งเริ่มต้น ขณะที่พลังงานก็ยังขาดแคลนในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการพัฒนาอย่างรวดเร็ว”

 

ในส่วนของกองทุนไทยที่มีนโยบายไปลงทุนที่เวียดนาม สามกองทุนหลักที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในปีนี้คือ กองทุนเปิด พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) กองทุนเปิด เค เวียดนาม หุ้นทุน (K-VIETNAM) และกองทุนเปิด แอสเซทพลัส เวียดนาม โกรท ฟันด์ (ASP-VIET) โดยผลตอบแทนของทั้ง 3 กองทุนตั้งแต่ต้นปี 2563 อยู่ที่ 13.75% 11.11% และ 8.33% ตามลำดับ 

 

สำหรับกองทุน PRINCIPAL VNEQ ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด มีนโยบายการลงทุนโดยคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุนเองส่วนหนึ่ง และลงทุนผ่านกองทุน VFMVN Daimond ETF เช่นเดียวกับ ASP-VIET ที่เน้นผสมผสานระหว่างหุ้นรายตัวและการลงทุนผ่านกองทุนอื่น ส่วนกองทุน K-VIETNAM จะเน้นการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวมากกว่า 

 

Brief art: กราฟฟิกผลตอบแทนกองทุนหุ้นเวียดนาม 

แทรกกราฟฟิกในเนื้อข่าว และทำแยกเป็น info อีกหน้านึง รวมกับ info ของด้านบนด้วยนะครับ

 

 

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising