การปลดพนักงานของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาที่เป็นกระแสมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แม้จะเป็นข่าวร้ายของพนักงานแต่กลับเป็นข่าวดีของนักลงทุน สะท้อนจากราคาหุ้นกลุ่มเทคที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง 5 สัปดาห์ นับเป็นการแรลลี่ที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาจากความคาดหวังว่าบริษัทเทคกำลังเร่งคุมต้นทุนด้วยการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
ความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มเทคสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนจากดัชนี Nasdaq ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 กุมภาพันธ์) ปิดตัวในแดนบวก และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 และเป็นเดือนที่ดัชนีถึงจุดสูงสุด โดยดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 15% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ดิ่งลง 33% ในปี 2022 ซึ่งเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับดัชนีนับตั้งแต่ปี 2008
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของดัชนีนั้นสวนทางกับผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อปลายสัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วรายได้และกำไรล้วนทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น Alphabet, Amazon รวมถึง Apple โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคปรับตัวขึ้นมาได้นั้นมาจากความคาดหวังจากนักลงทุนที่เชื่อในการดำเนินการ ‘ลดค่าใช้จ่าย’
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘เคธี วูด’ บอกว่ากองทุน ARKK คือดัชนี Nasdaq โฉมใหม่ที่ชี้วัดหุ้นนวัตกรรมได้ดีกว่า
- ทิม คุก ยก 3 เหตุผล ดอลลาร์แข็งค่า-ปัญหาการผลิตในจีนที่กระทบ iPhone 14 Pro / Pro Max-เศรษฐกิจไม่ฟื้น ทำ Apple มียอดขายพลาดเป้านักวิเคราะห์ในรอบ 7 ปี
- ขายฝันให้นักลงทุน? เมื่อ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เรียกปี 2023 ว่า ‘ปีแห่งประสิทธิภาพ’ เน้นลดค่าใช้จ่าย นำ AI มาช่วย แม้ยังขาดทุนจาก Metaverse กว่า 4.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ครั้งสุดท้ายที่หุ้นเทคโนโลยีมีการปรับตัวขึ้นอย่างยาวนานเช่นนี้ คือเมื่อปี 2021 โดยตอนนั้นนักลงทุนต่างเตรียมความพร้อมต้อนรับการเข้าระดมทุนของ Rivian ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยวันแรกที่หุ้น Rivian เข้าซื้อขายนั้น ราคาหุ้นพุ่งถึง 30% และระดมทุนได้มากกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนการแรลลี่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากดีล IPO แต่เป็นเพราะนักลงทุนคาดหวังกับปัจจัยบวกครั้งใหม่ นั่นก็คือแผนการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่บรรดาบริษัทเทคกำลังเร่งมือ รวมไปถึงการเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และแผนการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก
บิ๊กเทครายงานผลประกอบการ ‘ต่ำคาด’
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา Apple รายงานผลประกอบการซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 ส่วน Meta บริษัทแม่ของ Facebook รายงานว่ามีรายรับลดลงเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน ขณะที่ธุรกิจโฆษณาของ Google นั้นมีรายได้ลดลง และ Amazon ปิดฉากการเติบโตในปีที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์ 25 ปีในฐานะบริษัทมหาชน
แต่ท่ามกลางตัวเลขผลประกอบการที่ปรับตัวลดลง ราคาหุ้นต่างพาเหรดกันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาหุ้น Apple, Meta, Alphabet และ Amazon ปิดสัปดาห์ในแดนบวกอย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับหุ้น Microsoft ที่รายงานผลประกอบการในสัปดาห์ก่อนนั้นตั้งเป้าการเติบโตรายไตรมาสเพียง 3%
‘ควบคุมต้นทุน’ คือตัวพลิกเกม
หุ้น Meta ทำผลงานได้ดีที่สุดในกลุ่มในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 23% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดเป็นอันดับสาม ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาหุ้นคือคำประกาศของ Mark Zuckerberg ซีอีโอของบริษัท ในแถลงการณ์ผลประกอบการว่าปี 2023 จะเป็น ‘ปีแห่งประสิทธิภาพ’ และคำสัญญาของ Mark ที่ว่า ‘เรามุ่งเน้นไปที่การเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งและว่องไวมากขึ้น’
ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2022 Meta ประกาศเลิกจ้างงาน 11,000 ตำแหน่ง หรือ 13% ของพนักงานทั้งหมด
“นั่นคือตัวเปลี่ยนเกมจริงๆ” Stephanie Link หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ Hightower Advisors กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC และเสริมมุมมองว่า “ท้ายที่สุดแล้ว ความคิดเรื่องลดต้นทุนจะเป็นแก่นดีเอ็นเอขององค์กร และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเชื่อว่า Meta จะไปได้ไกลจริงๆ”
อ้างอิงจากแถลงการณ์ของ Meta เมื่อเร็วๆ นี้ Mark ยอมรับว่าเวลากำลังเปลี่ยนแปลง และเขาไม่คิดว่าการเติบโตขององค์กรจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงที่เสนอขายหุ้น IPO ในปี 2012-2021 บริษัทเติบโตระหว่าง 22-58% ต่อปี แต่รายได้ในปี 2022 ลดลง 1% และนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 5% ในปี 2023
Link กล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นของ Meta ดีดกลับขึ้นมาครั้งใหญ่หลังจากรายงานผลประกอบการนั้น เป็นเพราะความคาดหวังนั้นต่ำมากและการประเมินมูลค่าก็น่าสนใจมาก โดยหุ้น Meta สูญเสียมูลค่าไปเกือบสองในสามของปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าหุ้นที่มีมูลค่ามหาศาล
ผู้นำและการฝ่าฟันวิกฤตเป็นอีกปัจจัยพลิกเกม
ราคาหุ้น Apple ซึ่งร่วงลง 27% ในปีที่แล้ว ดีดกลับขึ้นมา 6.2% ในสัปดาห์นี้ แม้ว่ารายได้จะลดลงมากที่สุดในรอบ 7 ปีก็ตาม ซึ่ง Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าวว่า ผลประกอบการได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ปัญหาการผลิตในจีนที่ส่งผลกระทบต่อ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max และสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคโดยรวม
Daniel Flax นักวิเคราะห์จาก Neuberger Berman กล่าวกับ CNBC เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า Apple สามารถนำทางตลาดได้ค่อนข้างดี ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากมาก ในขณะที่เรากำลังก้าวผ่านเดือนแรกและไตรมาสแรกของปีอยู่ตอนนี้ เราจะเห็นการกลับมาเติบโตและตลาด (หุ้น) จะเริ่มลดราคาลง เรายังคงชอบ Apple แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายระดับมหภาคก็ตาม
Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ซึ่งรับตำแหน่งต่อจาก Jeff Bezos ในช่วงกลางปี 2021 ได้ให้ข้อมูลนักวิเคราะห์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (2 กุมภาพันธ์) ว่าหลังจากการรายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ ในเดือนมกราคม Amazon เริ่มปลดพนักงาน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีการลดพนักงานมากกว่า 18,000 ตำแหน่ง
โดยในการให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ Jassy กล่าวว่า การจัดการค่าใช้จ่ายได้กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับ Amazon ซึ่งก่อนหน้านี้ธุรกิจได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด โดย Amazon ยอมรับในเวลาต่อมาว่าได้จ้างคนจำนวนมากเกินไปในช่วงเวลาดังกล่าว
“เรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อปรับปรุงค่าใช้จ่ายของเรา” Jassy กล่าวกับนักวิเคราะห์
ในส่วนของ Alphabet นั้นอยู่ในโหมดของการลดขนาดองค์กร โดยบริษัทประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่าจะปลดพนักงาน 12,000 ตำแหน่ง หลังจากรายได้ลดลงในไตรมาสที่ 4/2022 รวมถึงยอดขายที่น่าผิดหวังของ YouTube ที่มีรายได้จากเม็ดเงินโฆษณา และความอ่อนแอในแผนกคลาวด์เนื่องจากภาคธุรกิจรัดเข็มขัด
Ruth Porat หัวหน้าฝ่ายการเงินของ Alphabet กล่าวกับ Deirdre Bosa ของ CNBC ว่าบริษัทกำลังชะลอการจ้างงานอย่างมีความหมาย เพื่อพยายามสร้างการเติบโตที่มีกำไรในระยะยาว
หุ้น Alphabet สิ้นสุดสัปดาห์เพิ่มขึ้น 5.4% แม้ว่าจะมีแรงขายออกมาบ้างหลังจากการรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง
ทั้งนี้ หากดัชนี Nasdaq ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่หก นั้นก็จะเท่ากับการปรับตัวขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิดจะเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
และตอนนี้นักลงทุนจะหันไปหารายงานรายได้จากบริษัทเทคขนาดเล็ก ที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า เช่น Pinterest, Robinhood, Affirm และ Cloudflare
อ้างอิง: