ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คลายความวิตกจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า จะยังไม่ใช้กำลังทหารตอบโต้อิหร่านจากกรณียิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพในอิรัก โดยดัชนี S&P และ Nasdaq ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones ปิดพุ่ง 161.41 จุด แต่มีแรงกดดันจากหุ้น Boeing ที่ร่วงลงจากข่าวการตกของเครื่องบิน Boeing 737 ในอิหร่านเมื่อวานนี้ (8 มกราคม)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับปัจจัยบวกจากท่าทีที่ผ่อนคลายลงของทรัมป์ต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดย Dow Jones ลดช่วงบวกจากแรงฉุดของหุ้น Boeing โดยปิดที่ระดับ 28,745.09 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 0.6% ขณะที่ S&P 500 เพิ่มขึ้น 15.87 จุด หรือ 0.5% ปิดที่ 3,253.05 จุด และดัชนี Nasdaq Composite ทะยานขึ้น 60.66 จุด หรือ 0.7 ปิดที่ 9,129.24 จุด
นักวิเคราะห์มองว่า นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลลง หลังทรัมป์ระบุว่า อิหร่านกำลังถอย หลังจากที่ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอัล-อัสซาดและเออร์บิลในอิรัก นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า สหรัฐฯ ยังไม่พิจารณาทางเลือกเกี่ยวกับการใช้กำลังทหาร แต่จะใช้วิธีคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติม และกดดันให้อิหร่านเร่งทำข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับสหรัฐฯ
แต่สถานการณ์ที่คลี่คลายลงเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ในตลาดนิวยอร์ก ร่วงลง 4.9% แตะ 59.61 บาร์เรลต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคมเป็นต้นมา
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 4.2% แตะ 65.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเช่นกัน
เมื่อนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และหันเข้าถือครองสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น มากขึ้น ทำให้ราคาทองคำตลาด Comex ร่วงลง 14.10 ดอลลาร์ หรือ 0.9% แตะระดับ 1,560.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 11 วัน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: