×

เริ่มมีข่าวดี! วุฒิสภาสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ วอลล์สตรีทขานรับ ดาวโจนส์พุ่งกว่า 300 จุด

08.10.2021
  • LOADING...
วุฒิสภาสหรัฐฯ

ถือเป็นข่าวดีส่งท้ายสัปดาห์ เมื่อ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ สังกัดพรรคเดโมแครต เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันสามารถบรรลุข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงประวัติการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในวันที่ 18 ตุลาคมได้อย่างหวุดหวิด

 

สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า ชูเมอร์ได้บรรลุข้อตกลงกับ มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ที่ทางพรรคเดโมแครตเสนอให้ขยายเพดานหนี้เงินกู้ระยะยาวมูลค่า 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของรัฐบาลไปจนถึงเดือนธันวาคม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ของรัฐบาล

 

แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดและระบุตัวเลขวงเงินเพดานหนี้ แต่สื่อหลายสำนักรายงานอ้างคำกล่าวของผู้ช่วยวุฒิสมาชิกรายหนึ่งที่ออกมาเผยว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องที่จะยืดระยะเวลาให้รัฐบาลมีอำนาจกู้เงินเพิ่มไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคมที่ 4.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับได้ว่าช่วยคลี่คลายความตึงเครียดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังสมาชิกสภาคองเกรสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้ที่มีกำหนดชำระเงินในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ในวันดังกล่าวรัฐบาลจะไม่มีเงินชำระค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าภาษีที่จัดเก็บได้มานานแล้ว

 

หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าหากสภาคองเกรสสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ก็จะส่งผลให้การเบิกจ่ายเงินบำนาญรายเดือนสำหรับผู้สูงอายุ และเงินเดือนสำหรับลูกจ้างและคู่สัญญาของหน่วยงานรัฐทั้งหมดล่าช้าออกไป รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ไม่เพียงเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเสียหายใหญ่หลวงต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ

 

ก่อนหน้านี้พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ เนื่องจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน นำโดยแมคคอนเนลล์ เสนอให้มีการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ จากระดับ 28.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ไปสู่อีกระดับหนึ่งที่มีการกำหนดวงเงินตายตัว แต่ทางพรรคเดโมแครตต้องการให้มีเพิ่มเพดานหนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2022

 

ขณะเดียวกัน การเจรจายังยืดเยื้อ เนื่องจากพรรครีพับลิกันยื่นเงื่อนไขเปิดทางขยายเพดานหนี้ โดยแลกกับการพิจารณาทบทวนเพื่อยกเลิกข้อเรียกร้องของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในการผ่านร่างกฎหมายมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อขยายโครงการเสริมสร้างความปลอดภัยทางสังคมของประเทศ โดยจะเป็นเงินที่ได้มาจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสำหรับธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวย ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่พรรครีพับลิกันคัดค้านอย่างมาก

 

ทั้งนี้ การขยายเพดานหนี้ในครั้งนี้ยังจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีเวลาในการหารือเพื่อพิจารณาหามาตรการแนวทางในการเพิ่มรายได้ และลดปริมาณหนี้ของสหรัฐฯ

 

แม้จะเป็นการขยายเพดาหนี้ชั่วคราว แต่ก็ช่วยคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนในตลาด โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ (7 ตุลาคม) ปิดตลาดปรับตัวในแดนบวกทั่วหน้า

 

ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวเพิ่มขึ้น 337.95 จุด หรือราว 1% ปิดที่ 34,754.94 จุด โดยได้แรงหนุนอีกทางจากแรงซื้อของหุ้น Visa, Nike และ Home Depot ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 4,399.76 จุด ส่วนดัชนี Nasdaq Composite พุ่งขึ้นเกือบ 1.1% ปิดที่ 14,654.02 จุด ส่งผลให้ภาพรวมเฉลี่ยของตลาดตลอดทั้งสัปดาห์ขยับขึ้นในแดนบวก

 

หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก โดยความเคลื่อนไหวของนักลงทุนยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่พบตัวเลขชาวอเมริกันขอยื่นรับสวัสดิการคนว่างงานประจำสัปดาห์ลดลงอย่างมาก คือ อยู่ที่ 326,000 คน น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 345,000 คน และน้อยกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 364,000 คน

 

ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ (8 ตุลาคม) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้พิจารณาปรับลดวงเงินในโครงการซื้อคืนพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ด้านนักกลยุทธ์ของ Barclays ได้ออกมาแนะกลยุทธ์การลงทุน หลังนักลงทุนส่วนใหญ่ตัดสินใจชะลอการลงทุนเพราะความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยระบุว่า ห้วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเข้าช้อนซื้อหุ้นเก็บไว้ ตามแนวทาง Buy the Dip เพราะแม้ว่าบรรดาธนาคารกลางในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ จะเริ่มกลับมาเป็นสายเหยี่ยว แต่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกในเวลานี้กำลังฟื้นตัวเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจหลายแห่งเริ่มมีรายได้มากขึ้น ทำให้รายได้ต่อหุ้นโตได้เรื่อยๆ แม้ไม่หวือหวา

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising