ราคาน้ำมันทะยานขึ้นแรงที่สุดในรอบกว่า 4 เดือน หลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานจากหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก
น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งขึ้น 5.6% ปิดตลาดใกล้ระดับ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย ได้แก่ Rosneft PJSC และ Lukoil PJSC โดยมีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นรายได้ที่รัสเซียใช้สนับสนุนสงครามในยูเครน ผู้บริหารโรงกลั่นในอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ซื้อน้ำมันรายสำคัญของรัสเซีย ระบุว่ามาตรการนี้จะทำให้ “แทบเป็นไปไม่ได้” ที่การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียจะดำเนินต่อไปได้
มาตรการล่าสุดนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างสิ้นเชิงจากแนวทางเดิมของสหรัฐฯ และกลุ่ม G7 ที่พยายามจำกัดรายได้ของรัสเซียด้วยการตั้งเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย โดยไม่ให้เกิดการขาดแคลนจนราคาพลังงานโลกพุ่งสูง แต่ครั้งนี้ สหรัฐฯ กลับเลือกใช้แนวทางที่เข้มข้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน ภาวะน้ำมันล้นตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งกลุ่ม OPEC+ และประเทศนอกกลุ่มต่างเร่งผลิตเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสัญญาณว่าอุปสงค์ทั่วโลกเริ่มชะลอตัว หากอินเดียลดการซื้อน้ำมันจากรัสเซียลงอย่างมาก คำถามสำคัญคือจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียอีกรายใหญ่จะยอมเข้ามารับซื้อน้ำมันส่วนเกินเหล่านั้นหรือไม่
สหภาพยุโรป (EU) ก็เพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซียเช่นกัน ด้วยชุดมาตรการคว่ำบาตรใหม่ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย รวมถึงการห้ามทำธุรกรรมกับ Rosneft และ Gazprom Neft PJSC อย่างสิ้นเชิง ผลคือราคาน้ำมันดีเซลในยุโรปและน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ต่างดีดตัวแรงตามกัน
ในช่วงก่อนหน้านี้ ตลาดน้ำมันส่งสัญญาณภาวะอุปทานส่วนเกิน อย่างชัดเจน ปริมาณน้ำมันที่ขนส่งอยู่ในทะเลแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าในปีหน้า ปริมาณน้ำมันโลกจะเกินความต้องการเฉลี่ยเกือบ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนทำให้โครงสร้างราคาฟิวเจอร์ส (forward curve) เริ่มชี้ให้เห็นแนวโน้มอ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดจะมีน้ำมันมากพอรองรับ แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าไม่ควรมองข้ามผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร เพราะการจัดหาแหล่งน้ำมันใหม่ของอินเดีย ซึ่งปัจจุบันกว่าหนึ่งในสามนำเข้าจากรัสเซีย จะเป็นภารกิจใหญ่และซับซ้อน อีกทั้งแรงกระเพื่อมจากมาตรการดังกล่าวยังส่งผลไปถึงจีน ซึ่งพึ่งพาน้ำมันรัสเซียราว 20% ของการนำเข้าทั้งหมด
ถึงแม้รัสเซียจะมีประสบการณ์ยาวนานในการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตร แต่ผลสุดท้ายของรอบนี้ยังไม่แน่ชัด ล่าสุด การส่งออกน้ำมันทางเรือของรัสเซียพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 29 เดือน แม้จะเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตกมาตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นก็ตาม ทั้งนี้บริษัท Nayara Energy ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Rosneft ในอินเดีย ยังอาจเป็นช่องทางสำคัญในการส่งออกน้ำมันรัสเซียต่อไป แต่แรงกดดันโดยรวมก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
บริษัท Rosneft และ Lukoil ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ถือเป็นสองเสาหลักของอุตสาหกรรมน้ำมันรัสเซีย โดยทั้งคู่รวมกันมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการส่งออกน้ำมันทั้งหมดของประเทศ รายได้จากภาษีน้ำมันและก๊าซคิดเป็นประมาณ 1ใน 4 ของงบประมาณรัฐบาลกลางรัสเซีย
อุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซียกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากการโจมตีของยูเครนที่มุ่งเป้าไปยังโรงกลั่น ท่อส่ง และท่าเรือส่งออก ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยล่าสุดยูเครนอ้างว่ามีการโจมตีโรงกลั่นของ Rosneft ในเมืองไรอาซาน ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ
ภาพ: Bloomberg Creative / Getty Images
อ้างอิง:


